Chapter 3 – Part 1
บริเวณด้านตะวันตกของเขตแดนปีศาจนั้น มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง
ภูเขาลูกนั้นมีหน้าผาและถ้ำอยู่หลายแห่ง เขาลูกนี้นั้นไม่มีชื่อ
บริเวณถ้ำแห่งหนึ่ง ที่อยู่บริเวณกลางของภูเขา
มีดอกไม้ดอกหนึ่งบานอยู่ มันเป็นดอกไม้ดอกเล็กๆขนาดเล็กกว่าฝามือ
ส่วนของดอกนั้นประกอบด้วยกลีบ 6 กลีบ มองเผินๆมันก็เหมือนกับดอกไม่ธรรมดาทั่วไป
แต่จริงๆแล้วดอกไม้ชนิดนี้ไม่มีปรากฏอยู่ที่ใดในโลก เป็นเวลาพันปีมาแล้วที่ดอกไม้ดอกนี้คงอยู่ในสภาพนี้มาตลอด
ดอกไม้ดอกนี้เป็นสิ่งที่เซ้นเอกบุบผาใช้เป็นอาวุธเมื่อกาลก่อน
เมื่อพันปีก่อน ในตอนที่เซ้นเอกบุบผาต่อสู้กับจอมมาร
เธอได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้
บวกกับความเหนื่อยล้าในที่สุดเธอทรุดตัวลงอย่างหมดแรงที่ภูเขาลูกนี้
เธอไม่ได้เป็นเทพ หรือ มีพลังพิเศษ เธอเป็นเพียงแค่มนุษย์คนหนึ่ง
ที่รู้สึกเจ็บได้รับบาดแผล และก็ล้มลงเมื่อหมดเรี่ยวแรงเช่นคนธรรมดา
ก่อนที่เธอจะล้มลง เธอได้ปลูกดอกไม้ดอกหนึ่งลงบนพื้นดิน
ดอกไม้ดอกนั้นแผ่ม่านพลังที่สามารถป้องกันจอมมารและพวกปีศาจได้
เธอใช้เวลาพักฟื้นที่ภูเขาลูกนั้นอยู่ 3 วัน
ถึงแม้ว่าภายหลังเมื่อเซ้นเอกบุบผาสามารถเอาชนะและผนึกจอมมารไว้ได้แล้วก็ตาม
ดอกไม้ดอกนั้นก็ยังคงปล่อยม่ายพลังป้องกันพวกปีศาจบริเวณเข้าลูกนั้นอยู่
จนทุกวันนี้พวกปีศาจต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาใกล้เขาลูกนี้
และนั้นคือตำนานของ ม่านพลังของ บุบผานิรันดิ์
...........................................................................................
มอร่าและคนอื่นๆกำลังมุ่งหน้าไปยัง
บริเวณม่านพลังบุบผานิรันดิ์ซึ่งบานอยู่ในถ้ำบริเวณกลางภูเขาลูกนี้
เส้นผ่าศูนย์กลางของม่านพลังที่ดอกไม้ปล่อยออกมานั้นอยู่ที่ประมาณ 50 เมตร
ซึ่งม่านพลังนี้มีพลังในการป้องกันจอมมารและพวกปีศาจไม่ให้เข้ามาในบริเวณนั้นได้
“เธอเข้ามาได้มั๊ย เฟรมี่?” มอร่าถามขณะที่ทุกคนก้าวเข้าไปในม่านพลัง
แต่เฟรมี่ก็สามารถเดินเข้ามาได้โดยไม่มีปัญหา
“ดูเหมือนจะไม่เป็นไรนะ คงเป็นเพราะตราหกบุบผา
เมื่อก่อนชั้นไม่มีทางเข้ามาในนี้ได้เลย”
“ดีแล้วล่ะ คงไม่ดีแน่ถ้าพวกเราคนใดคนนึงเข้ามาในนี้ไม่ได้”
มอร่าเดินนำหน้าเข้าไปในถ้ำไปหาคนอื่นๆ เดินไปไม่นานเธอเห็นชามอส
ซึ่งกำลังนั่งพิงโขดหินอยู่ที่บริเวณขอบของม่านพลัง พลางครวญครางด้วยความเจ็บปวด
มอร่าเดินเข้าไปหาเธอ “เป็นอะไรมากมั๊ยชามอส?”
ชามอสนั้นกำลังอาเจียนน้ำมูกน้ำตาไหลไปหมด
อาเจียนของเธอมีผงสีเงินผสมอยู่ ซึ่งมาจากจูม่าในท้องของเธอล้างมันออกมา
“ฮึก... ทุกคนบาดเจ็บ ชามอสรักษาให้ทุกคนไม่ได้ ชามอสจะทำยังไงดี?
เป็นครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น” ชามอสพูดพลางอาเจียนออกมาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่มอร่าก็ไม่รู้จะช่วยเธอยังไง
การรักษาบาดแผลของจูม่าคงมีแต่ชามอสเท่านั้นที่ทำได้
“หึ เซ้นที่แข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ พึ่งพาไม่ได้กว่าที่คิดนะ”
เฟรมี่เหน็บเธอจากด้านหลังมอร่า
“ว่าไงนะ!” ชามอสพูดพลางเช็ดน้ำตา
“ก็จริงไม่ใช่เหรอ? จนกว่าเธอจะหาวิธีรับมือกับผงสีเงินนั่นได้ เธอไม่มีทางสู้เท็กเนียวได้หรอก”
“ฮึก! ฮืออ” ชามอสร้องไห้ พลางใช้มือชกไปยังโขดหินที่เธอนั่งอยู่ “หุบปาก
หุบปาก ชามอสแข็งแกร่งที่สุด! ถ้าแผลของเด็กๆของชามอสหายแล้ว
หมอนั่นไม่ทางสู้ชามอสได้หรอก! ชามอสจะฉีกมันให้เป็นเศษเนื้อ! แล้วก็กินมัน!
และปล่อยให้มันมีชีวิตในท้องชามอสโดยไม่มีมือไม่มีเท้า!”
น่ากลัวจริง มอร่าคิด ชามอสนั้นแข็งแกร่ง
แต่ตรงข้ามกับพลังที่แข็งแกร่งของเธอ คือความคิดที่ยังเป็นเด็ก เธอนั้นเห็นแก่ตัว
เอาแต่ใจ และไม่รู้จักการทำงานร่วมกับผู้อื่น
แต่เพราะไม่มีใครสู้เธอได้เธอจึงไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น ตอนนี้พอเธอทำอะไรไม่ได้เธอจึงเริ่มหงุดหงิด
มอร่านั้นมีหน้าที่ดูแลและสั่งสอนชามอสเพื่อให้เป็นนักรบที่ดีและเป็นผู้ใหญ่
เป็นความผิดของเธอที่ไม่สามารถทำได้อย่างที่หวัง แต่จะมาสำนึกตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว
“ถ้าเธอหาวิธีรับมือผงสีเงินนั่นได้ล่ะก็นะ”
“ฮึก!”
“เฟรมี่เธอ จะโหดร้ายไปแล้วนะ”
โกดอฟนั้นยืนอยู่ใกล้ๆบริเวณนั้น เค้ายืนหันหลังให้ชามอส
ยังคงมองออกไปอย่างเลื่อนลอย เค้ายังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับนาเชทาเนีย
จริงๆแล้วมอร่าคิดว่าโกดอฟคือคนที่ 7
เธอคิดว่าที่เค้าทำตัวเหม่อลอยนั้นเป็นแค่การแสดงละคร
แต่ทว่า ระหว่างที่สู้กับเท็กเนียวเค้าก็ไม่ได้ทำอะไรเลย
เค้ารับหน้าที่ป้องกันพวกปีศาจที่จะเข้ามาช่วยเท็กเนียว ร่วมกับชามอสและฮาน แม้แต่ตอนหนีเค้าก็ช่วยขนสัมภาระของทุกคนให้
ถึงตอนนี้มอร่าชักไม่แน่ใจแล้วว่าเค้าคือคนที่ 7 หรือเปล่า
“โกดอฟ อัลเล็ตเป็นยังไงบ้าง” เฟรมี่ถาม
โกดอฟชี้ไปข้างในถ้ำ มอร่าและเฟรมี่จึงเดินเข้าไป
“เฟรมี่ เธอสงสัยโกดอฟมั๊ย?” มอร่าถามขึ้นเมื่อเกินห่างออกมาซักพัก
“แน่สิชั้นสงสัยเค้า แต่เหมือนกับที่ชั้นสงสัยเธอ โรโรเนีย ฮาน
และก็ชามอสน่ะล่ะ”
“ฮานกับชามอสด้วยเหรอ”
“ชั้นไม่ไว้ใจใครนอกจากอัลเล็ต” เธอพูดออกมาเบาๆ แต่หนักแน่น
“อัลเล็ตเป็นไงบ้าง” มอร่าตะโกนเข้าไปในถ้ำ
ภายในนั้นอัลเล็ตนอนอยู่บนพื้นโดยมีฮานกับโรโรเนียอยู่ข้างๆเค้า
บนหน้าผากอัลเล็ตมีผ้าเปียกอยู่
และโรโรเนียก็กำลังใช้พลังของเธอรักษาบาดแผลให้อัลเล็ต
ภานในถ้ำมีก้อนหินก้อนหนึ่งสูงระดับเอวอยู่และบนยอดหินก้อนนั้น มีดอกไม้เล็กๆดอกนึงบานอยู่
ที่นั่นคือศูนย์กลางของม่านพลัง บุบผานิรันดิ์
นับว่าโชคดีที่ภายในถ้ำมีน้ำพุธรรมชาติอยู่
ทำให้เรื่องน้ำไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเค้า
“พวกเธอรอดมาได้สินะ? ชั้นกำลังคิดว่าจะไปตามพวกเธออยู่พอดี”
ฮานพูดเมื่อเห็นทั้ง 2
“พวกเราไม่เป็นไร อัลเล็ตเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ไม่เป็นไรแล้วค่ะ เค้ากะโหลกร้าวนิดหน่อย ตอนนี้เค้ายังไม่ฟื้น
และชั้นเองก็ไม่สามารถใช้พลังรักษาจุดนี้ได้” โรโรเนียตอบ
เธอมีพลังในการควบคุมเลือดให้รักษาบาดแผลแต่เธอไม่สามารถรักษากระดูกที่หักได้
“ปล่อยให้ชั้นจัดการเอง ชั้นจะรักษาเค้าด้วยพลังแห่งขุนเขา”
มอร่านั่งลงข้างๆอับเล็ต
เธอรวบรวมพลังจากจิตวิญาญาณของภูเขาและถ่ายพลังไปยังบริเวณศีษระของอัลเล็ต
กะโหลกศีรษะค่อยๆสมานตัว
พลังของเธอนั้นไปกระตุ้นการฟื้นฟูตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์นั่นเอง
“เธอรักษาเค้าได้เหรอ?”
“ใช่ แค่นี้ไม่มีปัญหาหรอก”
เฟรมี่ยืนมองมอร่าอยู่ข้างหลังเงียบๆ
เธอยังคงระแวงว่ามอร่าอาจจะแกล้งทำเป็นรักษาอัลเล็ตแต่จริงๆแล้วอาจจะพยายามฆ่าเค้า
เธอเตรียมพร้อมที่จะลั่นไกทุกเมื่อหากเธอเห็นมอร่าทำอะไรที่ผิดสังเกตุแม้แต่น้อย
“เค้าบาดเจ็บหนักเลยนะเนี่ย” มอร่าพูดขึ้น
หากประเมินดูแล้ว สถานการณ์ตอนนี้ช่างสิ้นหวัง
ทุกคนพ่ายแพ้ต่อการโจมตีของเท็กเนียว
และที่แย่ยิ่งกว่านั้นเท็กเนียวยังไม่ได้ใช้กองทัพทั้งหมดของเค้าด้วยซ้ำ
“ถ้าเรามีกัน 6 คนเราอาจจะชนะไปแล้วก็ได้” ฮานพูดขึ้น
มอร่ากันไม่มองที่เค้า
“พวกเราต่างสู้โดยระแวงกันและกัน เพราะไม่รู้ว่าใครจะทรยศเราตอนไหน
หรือวางแผนจะทำอะไร ไม่มีทางที่เราจะมีสมาธิกับคู่ต่อสู้ได้เต็มที่อยู่แล้ว
บางทีด้วยสถานะการณ์ของพวกเราตอนนี้เราคงใช้ความสามารถได้ไม่เกิน 60% หรอก เมี๊ยว”
“นายพูดถูก” เฟรมี่พูด
มอร่ากำลังจะบอกว่า ที่เป็นแบบนั้นก็เพราะเธอนั่นล่ะ เฟรมี่
แต่ฮานก็หัวเราะออกมาซะก่อน
“เมี๊ยวววว พวกเราจนแต้มจริงๆนะเนี่ยตอนนี้ นี่มันน่าสนุกจริงๆ!
ไม่ผิดหวังจริงๆที่ได้มาที่นี่”
ถ้าเป็นปรกติมอร่าคงโมโหกับคำพูดนั้น “มันมีอะไรสนุกนักเหรอไง ฮาน?”
มอร่าพูดขัดขึ้น
“เมี๊ยว? เธอไม่รู้สึกว่ามันสนุกเหรอ?
นี่มันเป็นประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆเลยนะ ถ้าเธอสนุกกับมันก็บ้าแล้ว”
มอร่าปวดหัวกับฮานเหลือเกิน เธอไม่เข้าใจความคิดเค้าจริงๆ
“ว่าแต่ว่า นายกับอัลเล็ตพยายามจะทำอะไรงั้นเหรอ?
ตอนนั้นอยู่ๆนายกับเค้าพุ่งเข้าไปหาเท็กเนียวตรงแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
ถึงสุดท้ายจะโจมตีมันไปได้ทีนึงก็เถอะ”
“นั่นสิ ตอนนั้น อัลคุง ทำท่าทางเหมือนว่าเค้าชนะแล้วเลยค่ะ”
โรโรเนียเสริม
“แต่เท็กเนียวดูไม่รู้สึกอะไรกับการโจมตีนั้นเท่าไรนะ”
มอร่าพูดพลางทำหน้าสงสัย
ฮานจึงอธิบาย “ตอนนั้นเหมือนอัลเล็ตจะวางแผนอะไรซักอย่างอยู่น่ะ
ชั้นเลยช่วยซัพพอตเค้า และก็ช่วยรั้งการเคลื่อนไหวเท็กเนียวให้
แต่ว่าชั้นก็ไม่คืดว่าสุดท้ายมันจะจบแบบนี้น่ะนะ เมี๊ยว”
“ช่างเถอะ ไว้รออัลเล็ตฟื้นค่อยถามเค้า ก็แล้วกัน”
“เค้าจะฟื้นเมื่อไร” เฟรมี่ถามมอร่า
“จากอาการตอนนี้ เค้าน่าจะฟื้นในไม่กี่ชั่วโมงนี้ล่ะ
เรื่องความอึดต้องยกให้หมอนี่เลย”
“เค้ามันน่าเบื่อ” เฟรมี่พูดขึ้น
แต่คนอื่นๆไม่รู้ว่าเธอต้องการจะสื่ออะไร
“นี่เป็นครั้งที่ 3 แล้วนะ ที่เค้าเฉียดตายแบบนี้! ต้องให้พวกเราเป็นห่วงอีกกี่ครั้งถึงจะพอใจนะ!”
เฟรมี่พูดพลางถอนใจยาว
“ถ้าเธอไม่บอกเค้าตรงๆ เค้าก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอเป็นห่วงน่ะ เมี๊ยว”
“หึ ต่อให้ชั้นบอกไป ตางี่เง่านี่ก็ไม่เข้าใจหรอก
ชั้นเบื่อที่จะพูดแล้วด้วย”
ระหว่างที่มอร่ารักษาอัลเล็ตอยู่นั้น
เธอก็ย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อวาน ในตอนนั้นเธอยังพยายามที่จะฆ่าอัลเล็ตอยู่เลย
ในตอนนั้นเธอเชื่อจริงๆว่า อัลเล็ตคือคนที่7 แม้ว่าถ้าคิดดูดีๆจะเห็นว่ายังมีข้อสงสัยที่ยังไม่ชัดเจนอีกมากมาย
แต่ว่าในตอนนั้นเธอปักใจเชื่อไปแล้วว่าเค้าเป็นศัตรู
เหตุผลหลักๆที่ทำให้เธอคิดแบบนั้น
ก็เพราะอัลเล็ตจับเฟรมี่เป็นตัวประกัน
การใช้ตัวประกันเพื่อปกป้องตัวเอง
เป็นการกระทำที่มอร่าไม่อาจให้อภัยได้
ถึงแม้เธอปรกติเธอก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อชัยชนะก็ตาม แต่สำหรับเธอแล้วก็มีบางอย่างที่ไม่สมควรทำ
และในตอนที่เห็นอัลเล็ตเอาดาบจ่อคอเฟรมี่นั้น
ภาพนั้นก็ไปซ้อนทับกับภาพที่เท็กเนียวจับลูกสาวเธอเป็นตัวประกัน
แต่ว่าตอนนี้ความรู้สึกนั้นเปลี่ยนไปแล้ว ตอนนี้สำหรับเธอ
อัลเล็ตคือคนที่เธอไว้ใจมากที่สุด
“รออัลเล็ตฟื้นเถอะ และพวกเราค่อยคุยกัน
ชั้นเชื่อว่าหมอนี่ต้องมีแผนรับมือกับเรื่องนี้ได้แน่นอน”
โรโรเนียพยักหน้า พลางยิ้ม ฮานยักไหล่ ส่วนเฟรมี่
มอร่าไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เธอเอาแต่มองไปที่อัลเล็ตที่ยังคงหลับอยู่
...............................................................................
ทำไมนะ ระหว่างที่อัลเล็ตยังหมดสติอยู่ในหัวของเค้ายังคงคิดแต่เรื่องนี้
มันคือตอนที่เค้าต่อสู้อยู่กับเท็กเนียว ในตอนที่เค้าใช้เล็บแห่งเซ้นแทงเข้าที่สีข้างของเท็กเนียว
ทำไมมันถึงไม่ได้ผลนะ อัลเล็ตคิด
พวกปีศาจไม่มีทางทนพิษจะเลือดของเซ้นได้เด็ดขาด แต่ถ้ามันไม่ได้ผลจริงๆล่ะก็
เค้าก็ไม่เหลือไพ่ตายอะไรไว้จัดการเท็กเนียวแล้ว
“อัลเล็ต นายคิดว่าจะฆ่าชั้นได้จริงๆเหรอ” คำพูดนี้ของเท็กเนียวดังขึ้นในหัวเค้า
มันทำให้อัลเล็ตสะดุ้งตื่นขึ้น
เค้าพบว่าเค้าอยู่ภายในถ้ำ ข้างๆบริเวณนั้นมีดอกไม้ดอกเล็กบานอยู่
ใช้เวลาไม่นานนักเค้าก็เข้าใจสถานการณ์ ที่นี่ถ้ำที่มีบุบผานิรันดิ์บานอยู่
และเค้าคงถูกพรรคพวกพาหนีมายังที่นี่ ทั่วตัวเค้าตอนนี้เต็มไปด้วยผ้าพันแผล
“อัลคุง ฟื้นแล้วเหรอ?”
โรโรเนียทักมาจากข้างๆเค้า เธอกำลังบิดผ้าชุบเช็ดตัวอยู่
“อือ ทุกคนปลอดภัยมั๊ย”
“จ้ะ พวกเราทั้ง 7 คนปลอดภัย”
เมื่อได้ยินดังนั้นอัลเล็ตก็ลุกขึ้น เค้าหยิบดาบของเค้าที่อยู่ข้างๆขึ้นมา
เมื่อมองไปรอบเค้าก็เห็นกล่องเครื่องมือของเค้าอยู่แถวนั้น
ถึงจะไม่รู้ว่าใครนำมันมาให้
แต่อัลเล็ตก็เดินไปยังกล่องเครื่องมือและเริ่มหยิบของที่จำเป็นใส่ลงในช่องใส่ของที่เข็มขัดของเค้า
“อัลคุง ทำอะไรเหรอ?”
“ชั้นจะกลับ ไปสู้กับเท็กเนียว”
“เดี๋ยว! นี่เธอบาดเจ็บอยู่นะ”
“ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับชั้นซักหน่อย”
ความฝันเมื่อซักครู่ยังคงหลอกหลอนเค้าอยู่ ชั้นจะไม่ยอมแพ้แบบนี้!
ความคิดนี้ทำให้เค้าไม่สามารถทนอยู่เฉยได้
แต่ระหว่างที่เค้ากำลังจะเดินออกจากถ้ำนั่นเอง เฟรมี่ก็มาขวางเค้าไว้
“นายจะไปไหน อัลเล็ต” เฟรมี่ถามด้วยสายตาเย็นชา
มันทำให้อัลเล็ตได้สติกลับมา
“ถ้านายโง่ขนาดที่คิดจะกลับไปสู้ตอนนี้จริงๆละก็
งั้นปล่อยนายไปตายซะก็คงดีกว่า”
“ขอโทษ ชั้นมันบ้าเองล่ะ” อัลเล็ตพูดพลางเก็บดาบ ด้านโรโรเนียก็ถอนใจด้วยความโล่งอก
อัลเล็ตยิ้ม ในเวลาที่เจ็บปวดเค้าจะต้องยิ้มให้ได้
“ตอนนี้ทุกคนแยกกันไปพักผ่อนกันอยู่บางคนกินอาหาร บางคนรักษาบาดแผล
บ้างก็ซ่อมแซมอาวุธ เธอก็ควรจะพักบ้างนะ”
เฟรมี่มองไปยังอัลเล็ตพลางถอนใจยาว “เฮ้อ..อ ค่อยคิดหาทางทีหลังเถอะ
ตอนนี้ถึงนายฝืนไปก็คิดอะไรไม่ออกหรอก”
“..อึ๊ก..” อัลเล็ตเถียงไม่ออก
“นายนี่เป็นคนที่น่ารำคาญที่สุดโลกจริงๆ”
เฟรมี่พูดพลางเดินสวนเข้าไปในถ้ำ หลังจากนั้นเธอก็เริ่มถอดเสื้อคลุมและเสื้อผ้าออก
“เฟรมี่ นะ นี่ เธอจะทำอะไรน่ะ!?”
“ชั้นจะล้างตัวซะหน่อย ไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว” เธอตอบพลางถอดเสื้อผ้าที่เหลือออก
อัลเล็ตรีบออกจากถ้ำในทันที
เมื่อออกมาจากถ้ำ เค้าก็พบฮานกำลังนั่งกินอาหารอยู่ที่ปากถ้ำ
เค้ากำลังเคี้ยวเนื้อรมควัน กับขนมปัง พลางดื่มน้ำกลั้วไปด้วย
“อ่าว ตื่นแล้วเหรอ เมี๊ยว อาการเป็นยังไงมั่งล่ะ”
“ไม่ต้องห่วง สบายดีแล้วล่ะ ไปสู้กับเท็กเนียวตอนนี้ยังได้เลย”
“เลิกล้อเล่นบ้าๆ แล้วกินหาอะไรกินซะ เมี๊ยว”
ฮานพูดพลางแบ่งเนื้อรมควันให้กับเค้า มันเป็นเนื้อหอมนุ่มดูน่ากิน
แต่ว่าอัลเล็ตรู้สึกว่าเค้าเคยเห็นเนื้อนี่มาก่อน
“ฮาน นี่คงไม่ใช่เนื้อที่นาเชทาเนียเอามาใช่มั๊ย?”
“เมี๊ยววว ของขวัญจากนาเชทาเนียไงล่ะ เธอทิ้งมันไว้ตอนที่วิ่งหนีไป
เจ้าหญิงกินแต่ของดีๆจริงๆด้วยนะ”
“นี่... นายน่าจะระวังหน่อยนะ นี่มันอาหารของศัตรูนะ”
“ไม่ว่าใครหน้าไหน ก็วางยาในอาหารชั้นไม่ได้หรอก”
ฮานตอบพลางสวาปามอาหารต่อ
ระหว่างที่อัลเล็ตกำลังงงกับฮานอยู่นั้น โรโรเนียก็ออกมาจากถ้ำ
“ถึงจะมีพิษก็ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ
ชั้นพกยาแก้พิษที่จำเป็นจากโทโร่ซังมาด้วย อ่อเธอเป็นเซ้นแห่งยาน่ะค่ะ
แล้วชั้นเองก็รักษาพิษได้นิดหน่อยด้วย”
“ขอบใจนะ แต่ไม่เป็นไรหรอก
ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ”
เค้าพูดพลางหยิบของอย่างนึงออกมากจากกระเป๋าที่เข็มขัด มันมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยม
จุตรัสขนาดประมาณ 4 เซนติเมตร
“เมี๊ยว? นั่นอะไรน่ะ?”
“ชั้นเรียกมันว่าอาหารของชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก”
“เซ้นในการตั้งชื่อของนาย นี่มันห่วยบรมจริงๆ เมี๊ยว”
“มันประกอบไปด้วย แป้ง เนื้อสัตว์ และ สมุนไพรสกัดกว่าอีก 12 ชนิด
ผสมรวมกันแล้วทำให้เป็นก้อนด้วยไขมันสัตว์
และเพราะชั้นคือชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก ชั้นจะกินมันวันละครั้ง”
“แต่ชั้นไม่เห็นเข้าใจเลยว่า
ทำไมคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกถึงต้องกินของแบบนี้ด้วยล่ะคะ?”
โรโรเนียถามด้วยความสงสัย
“แล้วมันอร่อยมั๊ย?”
อัลเล็ตมองไปที่อาหารในมืออยู่พักนึงก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึกๆ
“เฮ้ย นี่นายจะทำอะไรน่ะ”
“มันมีวิธีกินอาหารนี่อยู่
อย่างแรกนายต้องลบรสชาติอาหารอร่อยๆทั้งหมดที่เคยกินในชีวิตออกไปให้หมด”
เค้าพูดพลางเอานิ้วชี้ทาบหน้าผากและทำสิ่งที่เค้าพึ่งพูดออกไป
“จากนั้นก็จินตนาการว่านี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก
ถ้าทำสำเร็จนายก็จะกินมันได้อย่างเอร็ดอร่อย”
หลังจากนั้นเค้าก็หลับตายัดเจ้าก้อนสี่เหลี่ยมนั่นเข้าปาก
เคี้ยวสองสามทีและรีบกลืนมันลงไป
“พละกำลังเป็นสิ่งจำเป็นในการต่อสู้
และเจ้าสิ่งนี้ก็มีทุกอย่างที่ร่างกายต้องการอยู่ครบถ้วน”
“........คือ...มันไม่มีวิธีกินแบบอื่นแล้วใช่มั๊ย....เมี๊ยว?” ฮานถาม
เค้ายังทึ่งกับวิธีกินของอัลเล็ตอยู่
“ว่าแต่ คนอื่นๆ ได้กินอะไรกันบ้างรึยังเนี่ย?” อัลเล็ตถามขึ้น
ตอนนี้คนกินอะไรไปบ้างแล้วมีแค่เค้ากับฮาน เฟรมี่กำลังอาบน้ำอยู่ที่น้ำพุในถ้ำ
โกดอฟและมอร่ากำลังลาดตระเวนบริเวณรอบม่านพลัง ส่วนชามอสกำลังนั่งหลับตาพิงก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่
“ชั้นเห็นโกดอฟกินอะไรไปหน่อยแล้ว แต่พวกสาวยังไม่กินอะไรกันเลย ชั้นก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน”
“ห๊ะ งั้นเหรอ?”
โรโรเนียที่ได้ยินดังนั้นจึงอธิบาย “อาหารไม่จำเป็นสำหรับชั้นค่ะ
เพราะชั้นสามารถสร้างและใช้สารอาหารในเลือดแทนได้
ส่วนมอร่าซังสามารถซึมซับเอาพลังจากจากภูเขามาใช้ได้
ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกินอาหารเช่นกันค่ะ”
สะดวกชะมัด อัลเล็ตคิด
“แล้วชามอสล่ะ?”
“ชามอสซังก็คงไม่จำเป็นต้องกินมั๊งคะ ขอโทษค่ะชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“นี่นายคิดว่าชามอสต้องกินอาหารด้วยเหรอ?”
เธอพูดขึ้นมาจากบริเวณโขดหินที่เธอนั่งอยู่
“....ก็ ..... ชั้นคิดว่าแบบนั้นน่ะนะ”
“ชามอสไม่มีเวลาอธิบายให้นายฟังหรอกนะ
ชามอสต้องรักษาอาการบาดเจ็บของเด็กๆ” เมื่อพูดขบเธอก็หลับตาลงอีกครั้ง
อัลเล็ตได้ยินเสียงครวญครางดังออกมาเบาๆจากท้องของเธอ เค้านึกขึ้นได้ว่าเหล่าจูม่าพึ่งได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้มา
คงจะดีกว่าถ้าไม่ไปรบกวนเธอตอนนี้
“ส่วนเฟรมี่ ... จริงสิ เฟรมี่เป็นครึ่งปีศาจนี่นะ”
อัลเล็ตเคยศึกษาเรื่องการดำรงชีวิตของพวกปีศาจมาจากอาจารย์
ปีศาจนั้นไม่ต้องกินอาหารบ่อยเหมือนมนุษย์
การกินอาหารครั้งหนึ่งก็สามารถทำให้อยู่ไปได้นับสิบวัน
อ๊ะ แต่ว่า?
อัลเล็ตรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างสะกิดความคิดเค้า
“มีอะไรเหรอคะ?”
พวกปีศาจไม่จำเป็นต้องกินอาหารบ่อยๆ งั้นทำไมเท็กเนียวถึงต้องพกกินผลมะเดื่อไว้ด้วยล่ะ
แต่ไม่นานเค้าก็ปล่อยความสงสัยนั้นไป
.................................................................................................
มอร่ายืนอยู่บริเวณขอบของม่านพลัง ในตอนที่อัลเล็ตเดินออกมาจากถ้ำ
การเห็นเค้ากินอาหารได้ตามปรกติทำใหเธอคลายความกังวลลง
มอร่ามองดูทั่วภูเขาเพื่อจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกปีศาจ
เมื่อเธออยู่บนภูเขา เธอสามารถใช้ความสามารถ “Second-Sight(ตาที่สอง)”
ซึ่งทำให้เธอสามารถมองเห็นได้ทั่วทั้งภูเขา
ในตอนนี้มีปีศาจประมาณ 200 ตัวอยู่บริเวณรอบที่นี่
ส่วนใหญ่พวกมันจะแบ่งเป็นกลุ่มเล็กๆประมาณ 5 ตัว กระจายอยู่โดยรอบและในหมู่พวกมันก็เหมือนจะมีปีศาจชั้นสูงที่มีสติปัญญารวมอยู่ด้วย
พวกเราเหมือนหนูติดจั่นเลย มอร่าคิด
ดูเหมือนว่าเท็กเนียวต้องการจะต้องพวกเธอมาที่ภูเขาลูกนี้
แต่มอร่าก็ได้ลองใช้ Second sight ค้นหากับดักต่างๆทั่วบริเวณนี้แล้ว
แต่เธอก็ไม่พบอะไร ความสามารถนี้ของเธอสามารถตรวจสอบทั่วทั้งภูเขาได้ไม่ว่าจะเป็นบนพื้นผิมหรือว่าใต้ดินก็ตาม
เท็กเนียวก็ไม่ได้อยู่บริเวณนี้
ส่วนพวกปีศาจรอบๆก็ดูเหมือนไม่ได้รับคำสั่งจากเท็กเนียวโดยตรง
ยิ่งกว่านั้นเธอก็ยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเหลือเวลาอีกแค่ 2
วันที่เท็กเนียวบอกเธอไว้
มอร่ายังคงสับสน
เธอไม่แน่ใจว่าการที่หนีมาแบบนี้เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องหรือไม่
หรือจริงๆแล้วเธอควรจะจัดการเท็กเนียวให้ได้ตอนนั้นไม่ว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
ไม่ การหนีออกมาน่ะถูกแล้ว มอร่าบอกกับตัวเอง พยายามลบความคิดที่จะแลกชีวิตกับเท็กเนียวออกไป
เพราะถ้าเธอทำแบบนั้นแล้วมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาละก็
ชีวิตของชีเรียน่าจะต้องจบลงทันที
“มอร่า เป็นยังไงบ้าง?”
อัลเล็ตเดินเข้ามาถามหลังจากที่เค้าพึ่งกินอะไรเสร็จ
“ที่นี่โดนล้อมไว้หมด แต่ตอนนี้คงยังไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง” มอร่าตอบอัลเล็ตระหว่างที่เธอยังใช้ความสามารถอยู่
“เธอไปพักหน่อยดีกว่ามั๊ย? เธอยังไม่ได้พักเลยนี่ตั้งแต่มาที่นี่?
เมี๊ยว” ฮานพูดขึ้นบ้าง
“จริงสินะ พักซักหน่อยก็ดี ชั้นอยากไปล้างเนื้อล้างตัวเหมือนกัน” เธอพูดพลางเดินเข้าไปในถ้ำ
แต่ระหว่างนั้นเธอก็ยังคงใช้ความสามารถของเธอเฝ้ามองบริเวณโดยรอบอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเข้ามาในถ้ำ เธอก็พบกับเฟรมี่ในสภาพเปลือยกำลังล้างเขม่าดินปืนที่ติดผมอยู่
แต่เมื่อเธอเห็นมอร่าเธอก็รีบหยิบไรเฟิลที่อยู่ข้างตัวขึ้นมา
“ใจเย็นสิ ชั้นไม่ได้จะทำอะไรซะหน่อย” มอร่าพูด พลางถอดผ้าคลุมและชุดของเธอออก
จากนั้นเธอก็เดินลงไปแช่ตัวในน้ำพุ เศษฝุ่นผงและคราบสกปรกลอยออกมา
แต่ไม่มีปัญหาเพราะพวกเธอกันน้ำส่วนที่ไว้ใช้ดื่มเอาไว้แล้ว หลังจากล้างตัวจนสะอาดแล้วเธอก็ออกมาจากบ่อและเริ่มทำความสะอาดเล็บและมือของเธอ
“โชคดีที่ ที่นี่มีน้ำพุอยู่นะ ไม่งั้นพวกเราคงจะสกปรกแย่”
มอร่าถอนใจยาวถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ใด
แต่ความสะอาดก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเธอ แต่แม้ระหว่างที่เธอยังทำความสะอาดร่างกายอยู่
ความกังวลเรื่องชีเรียน่าก็ยังไม่หายไปจากความคิดเธอ
“ เออ....อ ขอชั้นร่วมด้วยได้มั๊ยคะ?”
โรโรเนียถามขึ้นระหว่างที่เดินเข้ามาในถ้ำ จากนั้นเธอก็เริ่มถอดชุดของเธอออก
“เราสามคนมาอาบน้ำพร้อมกันนี่มันจะประมาทไปหน่อยมั๊ย
ถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้นจะทำยังไง?” เฟรมี่พูดขึ้น
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ ถึงจะเปลือยอยู่เธอก็สู้ได้ไม่ใช่เหรอ? และถึงจะโดนเห็นตอนเปลือยก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ซะหน่อย”
มอร่าพูดพลางวักน้ำขึ้นล้างตามร่างกาย “โรโรเนีย
ชั้นตกใจเหมือนกันนะที่เห็นเธอตอนนั้น”
“ค่ะ ตอนนั้นชั้นทำอะไรไม่ถูกเลย
นึกไม่ถึงเลยล่ะค่ะว่าจะมีตัวปลอมอยู่ในหมู่หกบุบผา”
“ชั้นก็เหมือนกัน ตอนเธอโผล่มาชั้นแทบช๊อคแน่ะ” มอร่าพูดพลางหัวเราะ
“ชั้นก็ไม่เข้าใจเธอเลยโรโรเนีย” อยู่ๆเฟรมี่ก็พูดขึ้น
โรโรเนียที่กำลังถอดเสื้ออยู่สะดุ้งด้วยความตกใจ
“อะ เออ หมายความว่ายังไงเหรอคะ?”
“ตอนที่เห็นครั้งแรก แม้แต่กวางเธอก็ยังตกใจกลัว แต่พอเจอกับศัตรู
เธอกลับตะโกนสาปแช่งอย่างบ้าคลั่ง อะไรคือตัวตนที่แท้จริงของเธอกันแน่?”
แต่มอร่าก็ตอบแทนโรโรเนีย “เด็กสาวที่ขี้กลัว
และขี้อายน่ะล่ะคือตัวจริง ส่วนการตะโกนสาปแช่งนั่นมันเป็นเหมือน.....
การปลุกใจล่ะนะ”
เฟรมี่ยังคงเอียงคอด้วยความสงสัย
“ชั้นมีเรื่องจะถามหน่อย โรโรเนีย เธอคิดว่าใครน่าสงสัยที่สุด?”
โรโรเนียอ้ำอึ้งอยู่พักนึงก่อนจะตอบ “ไม่รู้สิคะ
ไม่มีใครดูเหมือนจะเป็นคนไม่ดีเลย”
เฟรมี่จ้องไปที่โรโรเนีย “ถ้าชั้นเป็นเธอชั้นจะสงสัยชั้นก่อนอันดับแรก
ชั้นเป็นลูกของปีศาจนะ และยังเป็นนักล่าผู้กล้าด้วย ชั้นคือคนที่ฆ่าเพื่อนของเธอ
แอสลี่ และยังถูกเลี้ยงโดยเท็กเนียว ชั้นอยากรู้ว่าจากที่พูดมาทั้งหมดนี่ทำไมเธอถึงไม่สงสัยชั้น?”
“อ่า คือว่า...”
“เธอพยายามจะทำอะไรกันแน่โรโรเนีย?”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เฟรมี่!” มอร่าเข้ามาห้ามทั้งสองคน “โรโรเนียไม่ได้แสร้งทำอะไรทั้งนั้น
แต่เธอเป็นคนที่ไม่เคยสงสัยคนอื่นอยู่แล้วต่างหาก”
“นั่นล่ะที่มันแปลก”
“นี่เธอจะพูดจาให้ดีกว่านี้หน่อยได้มั๊ย
นี่เธออยากอยู่ตัวคนเดียวขนาดนั้นเลยเหรอ?” มาร่าพูดขึ้น
เฟรมี่ เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่จะพูดขึ้น “...แต่ชั้นรู้แค่วิธีพูดแบบนี้นี่”
“เฟรมี่ซัง ชั้น...” โรโรเนียพยายามพูด “ชั้นก็เคยคิดว่าคุณคือคนที่7ค่ะ
แต่ว่าทั้งมอร่าซัง และ อัลคุง ต่างก็เชื่อในตัวคุณ ชั้นจึงเลิกสงสัยในตัวคุณค่ะ”
“เข้าใจล่ะ”
“คุณสนิทกับอัลคุงใช่มั๊ยคะ?”
เฟรมี่ไม่ตอบคำถามนั้น เธอหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวม ร่างอันเพรียวบางของเธอถูกปกคลุมด้วยสีดำอีกครั้ง
“อัลคุงงั้นเหรอ? เธอกับเค้าน่าจะสนิทกันมากกว่าชั้นนะ” เฟรมี่ตอบ
และเธอก็หยิบไรเฟิลและเดินออกจากถ้ำไป
เธอนี่เหมือนเม่นจริงๆ มอร่าคิด
เธอระแวงทุกสิ่งที่เข้ามาใกล้เหมือนเธอกลัวบางอย่างอยู่ ถ้าความกลัวนี้เปลี่ยนเป็นความเกลียดชังเมื่อไหร่ละก็เธอคงไม่สามารถจะอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อีก
บางทีเธออาจจะขี้ขลาดซะยิ่งกว่าโรโรเนียอีกนะเฟรมี่
โรโรเนียถอนใจยาวอย่างโล่งอก และเริ่มถอดชุดของเธอต่อ
“ลำบากหน่อยนะโรโรเนีย เธอไม่ค่อยถูกกับคนแบบนี้นี่นะ”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้น” โรโรเนียหัวเราะ
แต่หน้าเธอไม่ได้กัวเราะด้วย
“แต่ก็ค่อยยังชั่วนะคะ ดูเหมือนเธอจะเป็นคนดีกว่าที่ชั้นคิด”
สงสัยจังว่าทำไมเธอถึงได้ข้อสรุปแบบนั้นจากที่คุยกันเมื่อกี๊ มอร่าคิด
“อ่าจริงสิ ชั้นพึ่งรู้ว่าเธอกับอัลเล็ตรู้จักกันมาก่อน
โลกมันแคบจริงๆนะ”
“อ่าค่ะ มันมีเหตุผลบางอย่างที่ชั้นไม่ได้พูดถึงอัลคุงน่ะค่ะ”
“หืม...ม เธอชอบเค้าเหรอ?”
โรโรเนียนิ่งไป “ก็......อือ....อ ไม่รู้สิคะ”
ท่าทางของโรโรเนียทำให้มอร่าหัวราะออกมา
“ชั้นคิดว่าไม่นะคะ ชั้นไม่ได้ชอบเค้าในแบบนั้นหรอกค่ะ”
“ดีแล้วล่ะ ถึงอัลเล็ตจะพึ่งพาได้ แต่หมอนั่นก็ทึ่มอย่างไม่น่าเชื่อในบางเรื่อง
เธอลำบากแน่ถ้าไปชอบคนแบบนั้น”
“งั้นเหรอคะ? แต่ชั้นไม่คิดว่าเป็นแบบนั้นนะ”
คนหนุ่มสาว นี่ดีจังนะ
พวกเค้ายังคิดถึงเรื่องพวกนี้ได้ในสถานการณ์แบบนี้
มอร่าคิดอย่างมีความสุข
ถึงแม้ตลอดเวลาที่เธอคุยกับโรโรเนียเธอยังคงคิดถึงเรื่องของลูกสาวของเธออยู่ในใจตลอดเวลาก็ตาม
<<จบ Chapter 3 – Part1>>
ขอบใจมากนะ
ตอบลบ