23 มกราคม 2559

(Light Novel) Rokka no yuusha Vol.2 Chapter 3 - Part 2 (แปลไทย)

Chapter3 – Part 2
ดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า ทุกคนที่พึ่งเสร็จจากการอาบน้ำ และซ่อมแซมอาวุธและเสื้อผ้าของตัวเอง ต่างมานั่งล้อมวงกันอยู่ข้างหน้าถ้ำเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับแผนการต่อไป
“อัลเล็ตนาย โอเคมั๊ย?” มอร่าถาม อัลเล็ตที่ตอนนี้นั่งอยู่ตรงกลางพยักหน้า จริงๆแล้วเธอค่อนข้างแปลกใจในพลังการฟื้นตัวของเค้า
“ที่สำคัญ สถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง? เท็กเนียวเข้ามาใกล้แถวนี้มั๊ย?”
มอร่าใช้ second sight ตรวจดู แต่ก็ไม่พบความเปลี่ยนแปลงโดยรอบภูเขา
“เท็กเนียวไม่ได้อยู่ที่นี่” อัลเล็ตหยุดคิดอยู่พักหนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบของมอร่า
“มีปีศาจประมาณ 200 ตัวรอบภูเขานี้ใช่มั๊ย? แปลกจังนะ นั่นแค่ครึ่งนึงของกองกำลังของพวกมัน ถ้าจะล้อมเราไว้ที่นี่ก็ดูน้อยเกินไป”
“ชั้นกลัวว่าจะมีพวกปีศาจอยู่บริเวณรอบนอกภูเขาน่ะสิ ถ้าเป็นแบบนั้นคงยากถ้าเราจะฝ่าไปได้”
“ถึงสู้ไม่ได้เราก็ หนีได้ ตราบใดที่เท็กเนียวไม่ได้อยู่ด้วย พวกปีศาจบนภูเขานี่ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาเท่าไร” อัลเล็ตตอบ
“ตราบใดที่เท็กเนียวไม่อยู่สินะ” เฟรมี่เน้น
“ก่อนอื่นชั้นขอถามอะไรหน่อยนะ มีใครได้เบาะแสอะไรของคนที่ 7 มั่งมั๊ย? ชั้นไม่อยากได้ยินว่าพวกนายสงสัยใคร หรือใครทำอะไรแปลกๆ ชั้นต้องการเบาะแสจริงๆ”
ไม่มีใครตอบ
“งั้นต่อมาใครช่วยอธิบายเหตุการณ์ตอนที่เราหนีออกมาตอนชั้นหมดสติอยู่ได้มั๊ย?
มอร่า กับ ฮาน ช่วยกันเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจนกระทั่งถึงที่นี่ เมื่อได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมดอัลเล็ตก็เอามือก่ายหน้าผาก
“....ไม่รู้สินะ เท่าที่ฟังทุกคนยกเว้นชั้นมีโอกาสที่จะจัดการคนอื่นๆได้ทั้งนั้น”
มอร่าพยักหน้า ถ้าเฟรมี่เป็นศัตรู เธอคงตายไปแล้ว
“ถ้าโกดอฟ หรือ โรโรเนียทรยศละก็ ต่อให้เป็นชั้นก็คงรับมือลำบากเหมือนกันล่ะ เมี๊ยว และถึงจะรับมือไหวก็ไม่แน่ว่าจะสามารถช่วยอัลเล็ตกับชามอสมาด้วยได้ และถ้าชามอสเป็นศัตรูล่ะก็ชั้คงตายไปแล้ว เมี๊ยว”
“ไม่ คุณแมวเป็นศัตรูล่ะก็ชามอสคงตายไปแล้ว ตะหากล่ะ” ชามอสโต้กลับ
“ทำไมคนที่ 7 ถึงไม่ลงมือนะ หมอนั่นรออะไรอยู่?”
อัลเล็ตก็คิดเช่นเดียวกับเธอ ทำไมหมอนั่นถึงได้ปล่อยโอกาสดีๆแบบนี้ไปนะ
“ชั้นเฝ้าระวังคนที่ 7 อยู่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาชั้นคอยจับตาดูทุกคนอยู่ตลอด บางทีคนที่7อาจจะรู้เรื่องนี้เลยยังไม่กล้าลงมือ” เฟรมี่พูดขึ้น
“เมี๊ยว แต่ชั้นก็ว่ามันจะแปลกไปหน่อยนะที่หมอนั่นยอมทิ้งโอกาสแบบนั้น พวกเราอาจจะตายกันหมดแล้ว ถ้าหมอนั่นหาจังหวะดีๆลงมือล่ะก็” ฮานพูด
“มีความเป็นไปได้อีกอย่างนึง” เฟรมี่พูดขึ้น “บางทีเท็กเนียวอาจจะสั่งไว้ว่า ห้ามลงมือตอนนี้”
“ทำไมล่ะ” อัลเล็ตถาม
“เพราะเค้าอยากจะเล่นสนุกกับพวกเรา”
“ห๊ะ?”
“เท็กเนียวก็เป็นแบบนี้ล่ะ ตลอดเวลาที่ชั้นอยู่กับเค้า ชั้นยังไม่ค่อยจะเข้าใจเค้าเลย เค้าชอบทำอะไรตามอำเภอใจโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา ชั้นไม่รู้เหมือนกันว่าเค้าคิดอะไรอยู่ .... อือ..อ บางทีเค้าอาจจะไม่ได้คิดอะไรเลยก็ได้”
น่าจะเป็นแบบนั้นล่ะ มอร่าคิด  ดูจากการกระทำของเท็กเนียวแล้ว มองได้อย่างเดียวว่าเค้ากำลังเล่นสนุกกับพวกเธออยู่
“หรือพูดอีกอย่างคือเท็กเนียวยังไม่ได้คิดจะฆ่าพวกเราจริงๆสินะ”
“ไม่รู้สิ... เค้าอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ก็ได้”
หมอนี่มันช่างรับมือยากจริงๆ มอร่าคิด
“จริงสิพวกเราถูกโจมตีที่เนินเขา เป็นไปได้มั๊ยว่าคนที่7 วางแผนพาเราไปที่นั่น” มอร่าพูดขึ้น
 “แต่ว่านะ มอร่า เธอเป็นคนเจอเนินเขานั่นเองนะ” ฮานตอบ
“และชั้นก็เป็นคนบอกให้พวกเราไปที่นั้น” เฟรมี่พูด
จากนั้นโรโรเนียก็ค่อยๆยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ “ เออ....อ ขอโทษนะคะ ชั้นพูดอะไรหน่อยได้มั๊ย?” อัลเล็ตพยักหน้า “คือ...อ บางทีคนที่ 7 อาจจะไม่อยากให้ตัวตนของเค้าถูกเปิดเผยก็ได้นะคะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“บางที่คนที่ 7 เองอาจจะไม่อยากให้ใครรู้ตัวจริงของเค้า ดังนั้นเค้าก็เลยพยายามไม่ทำอะไรน่าสงสัย ให้ตกเป็นเป้าไงคะ”
“งั้นหมอนั่นแทรกซึมเค้ามาในหมู่พวกเราทำไม? จะมีประโยชน์อะไรถ้าเข้ามาเพื่อจับตาดูเฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยเพราะกลัวตัวตนจะเปิดเผยน่ะ” เฟรมี่ค้านทฤษฏีของโรโรเนีย
“ไม่นะ บางทีชั้นว่าโรโรเนียอาจจะพูดถูกก็ได้” สายตาของทุกคนมองมายังอัลเล็ต “นี่เป็นแค่การคาดเดาของชั้นนะ บางทีคนที่ 7 ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เค้าไม่ได้หลอกล่อพวกเราไปที่เนินเขา และไม่ได้ติดต่อกับเท็กเนียวด้วย”
“ทำไมนายคิดแบบนั้น”
“ถ้าคิดตามปรกติแล้วถ้าพวกเราจะหลีกเลี่ยงการถูกซุ่มโจมตี เราก็ต้องไปทางเนินเขานั่นที่เป็นที่โล่ง เท็กเนียวคาดการณ์เรื่องนั้นออกเลยเข้าไปดักรอเราที่บริเวณนั้น ซึ่งมันก็มีโอกาสที่เค้าจะโผล่มาเจอพวกเราตอนเรากำลังพักกันอยู่ หรือต่อให้เราไม่พักก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเท็กเนียวก็จะสามารถโผล่มาด้านหลังพวกเราและตามไปโจมตีตลบหลังเราได้”
“แล้วทำไมคนที่ 7 ไม่ทำอะไรเลยล่ะ”
“ชั้นว่าคนที่ 7 ตั้งใจแสร้งเป็นพวกเดียวกับพวกเราไปก่อน”
“ทำไมเค้าต้องทำอย่างนั้นด้วย?”
“คนที่ 7 ต้องการจะหาโอกาสฆ่าเราทุกคนในครั้งเดียว ถึงเค้าจะตัดสินใจลงมือระหว่างที่พวกเรากำลังหนี ก็มีโอกาสที่พวกเราบางคนจะหนีรอดไปได้ ซึ่งนั่นไม่ใช่เป้าหมายของคนที่ 7”
บริเวณถ้ำตกอยู่ในความเงียบ
“ดังนั้นคนที่ 7 จะไม่ลงมือทำอะไรจะกว่าจะถึงโอกาสที่เหมาะสมจริงๆที่จะฆ่าเราทั้งหมดได้ เพื่อไม่ให้ตัวตนของตัวเองถูกเปิดเผย แต่ว่านี่ก็เป็นแค่การคาดเดาของชั้นล่ะนะ”
“....ถ้าเป็นแบบนั้น เราจะหาตัวคนที่ 7 ได้ยังไงล่ะ? มอร่าพูดขึ้น “ตราบใดที่คนที่ 7 ยังไม่ลงมือ เราก็ยังไม่สามารถรู้ได้ว่าเค้าเป็นใคร แต่ถ้าลงมือเมื่อไรก็แสดงว่าตอนนั้นพวกเราอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายสุดๆ แล้วแบบนี้เราจะรับมือยังไงล่ะ?”
ฮานตบมือหัวเราะชอบใจ “ เมี๊ยวว ฟังดูน่าสนุกดีนะ ฮ่าๆ”
“นอกจากเท็กเนียวแล้วก็มีหมอนี่ล่ะ ที่ชอบกวนประสาทไปเรื่อย” มอร่าพูดอย่างไม่พอใจ
ฮานมองมาด้วยสีหน้าที่เหมือนต้องการจะพูดว่า “ เมี๋ยว นี่ชั้นก็ซีเรียสอยู่นะ แต่ว่ามันก็น่าสนุกดีไม่ใช่เหรอ?”
เอาเถอะ มอร่าคิด
“สรุปก็คือในตอนนี้ พวกเราไม่มีทางที่จะสามารถคาดเดาแผนของเท็กเนียวได้ และคนที่7ได้” อัลเล็ตสรุป
“นายจะยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้เหรอ? นายเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกไม่ใช่เหรอไง?”
“อีกอย่างตอนนี้พวกเราถูกล้อมอยู่นะ อัลเล็ต เราจะทำยังไงถึงจะฝ่าวงล้อมออกไปได้?” มอร่าถามขึ้น
“ยิ่งเราเอาแต่หนีสถานการณ์จะยิ่งแย่ เราต้องหาทางวางแผนรับมือ” เฟรมี่พูด
ท่ามกลางเสียงโต้เถียงถึงแผนการของทุกคน อัลเล็ตพูดขึ้นเบาๆ  “ในสถานการณ์ตอนนี้ พวกเรามีแค่หนทางเดียวเท่านั้น”
“อะไรล่ะ?”
“พวกเราต้องแก้ปริศนาของเท็กเนียวให้ได้ก่อน” ทุกคนๆตกอยู่ในความเงียบ
ปริศนาของเท็กเนียว? มอร่าไม่รู้ว่าอัลเล็ตหมายถึงอะไร
“ทุกคน ดูนี่” อัลเล็ตพูดพลางหยิบอาวุธเหมือนเล็บยาวประมาณ 22 นิ้ว ออกมาจากกระเป๋า มันเป็นอาวุธแบบเดียวกับที่เค้าใช้แทงเท็กเนียว
“เมี๊ยว แล้วนี่มันอะไรน่ะ?”
อัลเล็ตเริ่มอธิบายถึงอาวุธที่เรียกว่า เล็บแห่งเซ้น ว่าปลายของมันมีผลึกที่ทำจากเลือดของเซ้นอยู่ เมื่อพวกปีศาจโดนแทงด้วยสิ่งนี้เลือดของเซ้นที่เป็นพิษกับพวกปีศาจจะกระจายไปทั่วร่างของมันทันที
เมื่อฟังอัลเล็ตอธิบายมอร่าก็รู้สึกทึ่ง เธอรู้จักอัลโทร สไปเกอร์แค่ว่าเป็นนักรบที่เชี่ยวชาญด้านปีศาจ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเค้าจะมีความสามารถขนาดที่สกัดพิษที่อยู่ในเลือดของเซ้นมาเป็นอาวุธออกมาได้
“นายแทงอาวุธนี้ใส่เท็กเนียวเหรอ? แน่ใจนะ?” มอร่าถาม และอัลเล็ตพยักหน้ารับ
“ชั้นแน่ใจ ชั้นแทงมันที่สีข้าง และชั้นก็ตรวจจนมั่นใจว่าพิษกระจายไปทั่วร่างมันแล้ว แต่ก็อย่างที่เห็นมันยังไม่ตาย”
เป็นไปไม่ได้ มอร่าคิด โรโรเนีย และเฟรมี่ที่ฟังอยู่เริ่มหน้าถอดสี
“ทำไมถึงไม่ได้ผลนะ?” เท็กเนียวน่าจะต้องตายเพราะพิษไปแล้วสิ”
“เมี๊ยว นี่มันปัญหาใหญ่เลยนะ” ฮานพูดขึ้น
ชามอสที่ยังทำหน้าเหมือนไม่ค่อยเข้าใจว่าทุกคนตกใจอะไรกัน เธอเหมือนจะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่ปีศาจจะต้านทานพิษจากเลือดของเซ้นได้
“ชั้นก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ แต่พวกปีศาจมีหลายประเภทใช่มั๊ยล่ะ บางทีอาจจะมีบางพวกที่ต้านพิษได้ก็ได้นี่?” ฮานถาม
“....เธอยังไม่เข้าใจสินะ ชั้นจะอธิบายให้ฟัง” อัลเล็ตพูดพลางถอนใจยาว
“พวกปีศาจน่ะ มีความสามารถในการวิวัฒนาการตัวเองได้ตามความตั้งใจของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นปีศาจประเภทไหนก็เหมือนกัน”
“เมี๊ยว?”
“ถ้าพวกมันปรารถณาจะมีเขา มันก็จะงอกเขาออกมาได้ ถ้ามันปรารถณาจะตัวโตขึ้นมันก็จะตัวโตขึ้นได้ แต่อาจจะใช้เวลาวิวัฒนาการหลายสิบปีถึงหลายร้อยปี ก็มีบ้างที่มันไม่สามารถวิวัฒนาการไปถึงสิ่งที่มันต้องการได้ แต่ว่าตราบใดที่มันปรารถณาอย่างแรงกล้าพอ มันก็สามารถพัฒนาความสามารถอะไรก็ได้ตามที่มันต้องการ”
“จริงเหรอ เมี๊ยว? ถ้างั้นก็เป็นไปได้สิที่มันจะวิวัฒนาการจนสามารถต้านพิษของเซ้นได้น่ะ?”
เฟรมี่ช่วยอธิบายต่อ ”แต่การวิวัฒนาการก็มีข้อจำกัดข้อนึงอยู่ คือพวกมันไม่สามารถวิวัฒนาการแก่นกลาง(Core) ของตัวเองได้”
“แก่นกลางงั้นเหรอ?”
เฟรมี่อธิบายว่า แก่นกลางเทียบได้กับสมองของมนุษย์ ซึ่งจะอยู่ในร่างของปีศาจและเป็นจุดอ่อนของมัน
“พูดได้ว่าแก่นกลางคือรูปร่างที่แท้จริงของพวกปีศาจ ร่างกายส่วนอื่นๆนั้นเป็นแค่ส่วนต่อเติม ดังนั้นแม้จะพัฒนาร่างกายได้ดั่งใจก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก่นกลางได้ และพิษจากเลือดของเซ้นก็สามารถทำลายแก่นกลางที่ว่าได้”
ฮานกับชามอสทำหน้าเหมือนยังตามที่เฟรมี่อธิบายไม่ค่อยทัน
“พิษที่อยู่ในเลือกของเซ้น คือพลังของเทพ มันไม่เหมือนกับพิษอื่นๆบนโลกที่สกัดขึ้นมาเองได้”
“และเมื่อใดที่พิษของเซ้นเข้าสู่ร่างของปีศาจมันจะแพร่เข้าไปทำลายแก่นกลางทันที ไม่ว่าพวกปีศาจจะวิวัฒนาการตัวเองยังไงก็ไม่สามารถป้องกันได้ และเมื่อแก่นกลางถูกพิษทำลายแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะช่วยได้อีก”
“สรุปคือ...”
“เลือกของเซ้นเป็นพิษที่มีผลกับปีศาจทั้งหมดไม่ข้อยกเว้นและไม่มีทางป้องกันได้”
“เมี๊ยวว นี่มันสุดยอดไปเลยนี่นา” ฮานพูดขึ้น ดูเหมือนในที่สุดเค้าก็รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพลังนี้
“ชั้นเองก็ใช้เลือด ในการโจมตีพวกปีศาจค่ะ” โรโรเนียพูดขึ้น “เอโทรซังเป็นคนสอชั้นค่ะ และมันก็ได้ผลจริงๆ”
“อัลเล็ต เอโทร สไปเกอร์เป็นใครกันแน่? ทำไมเค้าถึงมีความรู้ความสามารถขนาดนั้น?” มอร่าถาม
อัลเล็ตส่ายหน้า “ขอโทษนะ ชั้นเองก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจารย์เป็นพวกไม่ชอบพูดถึงเรื่องในอดีตน่ะ”
“ชามอสไม่สนอาวุธแปลกๆนี่หรอก และชามอสก็ไม่รู้จักคนชื่อ เอโทรด้วย” ชามอสด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“ชามอสไม่รู้หรอกนะว่าพลังนี้มันยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่ว่ามันก็ไม่ได้ผลกับเท็กเนียวไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็ไม่ต้องใช้มันหรอก ชามอสจะฆ่าเท็กเนียวเอง ชามอสจะหั่นมันเป็นชิ้นๆและกินให้หมด ชามอสจะใช้มันเป็นอาหารให้เด็กๆในท้องชามอส”
“เธอไม่เข้าใจเหรอชามอส การโจมตีที่ได้ผลแน่นอนกลับไม่เป็นผลนะ?” อัลเล็ตพูด
“แล้วไงล่ะ?”
“ถึงจูม่าเธอจะสับมันเป็นชิ้นๆ เท็กเนียวจะตายเหรอ? หรือต่อให้โรโรเนียรีดเลือดมันออกมาจนหมด หรือโกดอฟกับฮานฟันมันเป็นชิ้น หรือมอร่ารัวกำปั้นใส่มัน หรือเฟรมี่ยิงมันจนพรุน มันจะตายเหรอ? เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าการทำแบบนั้นจะฆ่ามันได้”
“ชามอสไม่สนหรอก ชามอสจะจัดการมันเอง”


“เราจะจัดการเท็กเนียวแน่ แต่จะทำแบบนั้นได้เราต้องไขปริศนาร่างกายของเท็กเนียวให้ได้ก่อน”
แย่ล่ะ ชามอสเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว เดี๋ยวได้อาละวาดแน่ มอร่าคิด
“.....งั้น ต้องทำยังไงล่ะ?”
แต่ตรงข้ามกับที่มอร่าคาด ชามอสยอมเชื่อฟังแต่โดยดี
“ชั้นจะเป็นคนไขปริศนาของเท็กเนียวเอง ส่วนเธอตอนนี้หาทางรับมือกับผงสีเงินให้ได้ซะก่อน”
“เข้าใจล่ะ ชามอสจะลองหาทางดู”
ปฏิกิริยาของชามอสทำให้มอร่าแปลกใจ  ดูเหมือนว่าเธอจะเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้นแล้ว ถึงแม้จะทีละน้อยก็ตาม
“แต่ถึงนายจะไขปริศนาของเท็กเนียวได้ เราก็ยังไม่มีทางรู้ว่าคนที่ 7 เป็นใครอยู่ดี” เฟรมี่พูด
“ชั้นคิดว่าถ้าเราต้อนเท็กเนียวให้จนมุมได้ คนที่7อาจจะต้องลงมืออะไรบางอย่าง”
“นายหมายความว่ายังไง?”
“เท็กเนียวกับคนที่7น่าจะเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดทั้ง 2 ก็อยู่ฝ่ายจอมมารเหมือนกัน ดังนั้นถ้าเรากำจัดเท็กเนียวได้ต้องไม่เป็นผลดีกับคนที่ 7 แน่ ดังนั้นชั้นคิดว่าถ้าเท็กเนียวกำลังจะแพ้คนที่ 7 จะต้องเผยตัวออกมาแน่นอน”
“เข้าใจล่ะ งั้นแทนที่เราจะรอให้คนที่ 7 ลงมือเราจะสร้างสถานการณ์บังคับให้ เค้าต้องลงมือแทนสินะ” มอร่าพูด
“แล้วถ้าเราต้อนเท็กเนียวจนมุมได้แล้ว แต่คนที่ 7 ก็ยังไม่ลงมือล่ะ?”
“งั้นเราก็ฆ่าเท็กเนียวซะ การกำจัดเท็กเนียวได้เป็นผลดีกับเรายิ่งกว่าการหาตัวคนที่ 7 ตัวอยู่แล้ว”
“แต่จะดีกว่าถ้าเราทำได้ทั้ง 2 อย่างนะเมี๊ยว” ฮานพูดพลางพยักหน้า
“ฟังดูอันตรายนะคะ ชั้นหวังว่าเราจะรู้ก่อนว่าเท็กเนียวหรือคนที่ 7 วางแผนจะทำอะไร” โรโรเนียพูด
“อาจารย์สอนชั้นว่าสิ่งที่แย่ที่สุดก็คือการทำอะไรครึ่งๆกลางๆ ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดของพวกเราตอนนี้ คือจัดการกับเท็กเนียวด้วยทุกอย่างที่เรามี”
โรโรเนียมีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจเมื่อได้ยินแบบนั้น
“ไม่ต้องห่วงน่า ชั้นเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนะ”
“นี่นายจะเอาแต่พูดประโยคนี้นี้เหรอไง เมี๊ยว” ฮานพูด ด้วยน้ำเสียงรำคาญ
“แต่ชั้นเข้าใจที่อัลคุงพูดค่ะ ชั้นเชื่อว่าอัลคุงเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจริงๆ” โรโรเนียตอบพลางพยักหน้า
ดูเหมือนทุกคนจะเห็นด้วยกับแผนการของอัลเล็ต มอร่าเองก็ดีใจที่อัลเล็ตตัดสินใจจัดการกับเท็กเนียว เพราะการจัดการกับเท็กเนียวเป็นทางเดียวที่จะช่วยลูกสาวเธอได้
เท็กเนียวจะต้องตายเท่านั้น
“ชั้นมีบางอย่างจะเสนอ” มอร่ายกมือขึ้น
“อะไรเหรอ?”
“ชั้นมีแผนการบางอย่าง มันเป็นของที่ชั้นเตรียมมาเพื่อใช้จัดการกับเท็กเนียวโดยเฉพาะ และชั้นว่าตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่เหมาะแล้ว หรือนายว่าไง?”
“แผนที่ว่าคืออะไรล่ะ”
“ชั้นจะสร้างม่านพลังคลุมภูเขาลูกนี้ไว้ ในตอนที่เท็กเนียวเข้ามาในบริเวณเขาลูกนี้ ม่านพลังนี้จะกันไม่ให้เท็กเนียวหนีออกไปและในขณะเดียวกันก็กันพวกปีศาจไม่ให้เข้ามาช่วยเหลือได้ แต่ว่าชั้นใช้มันได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”
โรโรเนียเบิกตากว้างเมื่อได้ยินแผนการของมอร่า
“เดี๋ยวก่อนสิคะ มอร่าซัง ม่านพลังนั่นมันอันตรายนะคะ”
“ชั้นยอมรับความเสี่ยงนั้น อัลเล็ตก็คงจะเห็นด้วยกับชั้น”
โรโรเนียเถียงไม่ออกจึงเงียบไป
“ม่านพลังนี่เธอสามารถใช้มันได้นานมั๊ย”
“ไม่นานมาก น่าจะประมาณ 6 ชม. เป็นอย่างมาก แต่ก็น่าจะเพียงพอในการกำจัดเท็กเนียว”
“เข้าใจล่ะ ลงมือตามนั้นเลย” อัลเล็ตพูดโดยไม่ลังเล
“ชั้นสามารถใช้มันได้ทันที ดังนั้นถ้าเท็กเนียวโผล่ออกมาเมื่อไร อัลเล็ตชั้นจะให้นายเป็นคนตัดสินใจว่าใช้มันมั๊ย”
อัลเล็ตพยักหน้ารับ
“เข้าใจล่ะ เราสรุปแผนได้แล้ว ชั้นจะรับหน้าที่ไขปริศนาของเท็กเนียวว่าทำไมเล็บแห่งเซ้นถึงไม่มีผล ถ้าทำได้เราคงจะหาทางจัดการกับมันได้ เฟรมี่มาคอยช่วยชั้น”
“...เข้าใจล่ะ”
“ฮาน โกดอฟ นาย 2 คนไปจัดการกับพวกปีศาจรอบๆภูเขา เราต้องลดจำนวนพวกปีศาจรอบๆภูเขาลง พวกนายคิดว่าไหวมั๊ย?”
“สบายมาก เมี๊ยว จริงๆแค่ชั้นคนเดียวก็พอแล้ว” ฮานหัวเราะชอบใจ แต่โกดอฟไม่ตอบแต่ก็ดูเหมือนเค้าจะตกลงกับหน้าที่นี้
“มอร่า เธอคอยใช้ Second sight ตรวจรอบภูเขาไว้ ถ้ามีอะไรผิดปรกติรีบบอกชั้นทันที และคอยช่วยเหลือโกดอฟกับฮานด้วย”
“เข้าใจล่ะ”
“ชามอสเธอหาทางรับมือกับผงสีเงินให้ได้ ถ้าชั้นไขปริศนาของเท็กเนียวไม่สำเร็จ จูม่าของเธอจะเป็นความหวังเดียวของพวกเราอย่าทำเป็นเล่นล่ะ”
“แน่อยู่แล้ว นายก็เหมือนกันล่ะ”
“เออ......อ แล้วชั้นล่ะคะ?” โรโรเนียยกมือขึ้น แต่อัลเล็ตมีท่าทางลังเล
“โรโรเนียเป็นเซ้นแห่งโลหิต เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเลือด ชั้นว่าเธอน่าจะมีประโยชน์กับนายนะ” มอร่าพูด อัลเล็ตพยักหน้ารับ
ระหว่างที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายออกไป อัลเล็ตก็ตะโกนเรียกทุกคนให้หยุด
“มีเรื่อวสุดท้ายที่ชั้นอยากจะบอกกับคนที่ 7 ที่แฝงตัวอยู่ในหมู่พวกเรา” อัลเล็ตพูดพลางมองไปยังทุกคน “ถ้าอยากกำจัดพวกเราทุกคนล่ะก็ นายต้องข้ามศพฆ่าชั้นไปก่อน ไม่อย่างนั้นชั้นจะจัดการนายแน่”
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง
“ถ้านายจะพูดประโยคประจำตัวนายอีกล่ะก็ ชามอสขอแนะนำว่าอย่าดีกว่า มันไม่ได้ดูเท่หรอกนะ” ชามอสเดาถูกทีเดียว
มอร่าและฮาน หัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว ด้านโรโรเนียก็เอามือปิดปากพยายามกลั้วหัวเราะอยู่ เฟรมีหันหลังให้อย่างไม่สนใจ และแม้แต่โกดอฟก็ดูเหมือนจะยิ้มออกมานิดหน่อย
นี่เป็นครั้งแรกเลยสินะที่ทุกคนหัวเราะด้วยกัน มอร่าคิด เธอรู้สึกว่าทุกคนเริ่มจะเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้นแล้ว
อัลเล็ตคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสิ่งนี้ เค้ายอมเป็นตัวตลกเพื่อให้ทุกคนได้ผ่อนคลายความเครียดลง
.....................................................................................
หลังจากทุกคนแยกย้ายไปแล้ว อัลเล็ตเดินกลับเข้าไปในถ้ำ เค้าเอาหลังพิงผนังและนั่งลงกับพื้น ชามอสทำให้เค้าขายหน้า หน้าของเค้ายังคงแดงด้วยความอาย
ชิ ชั้นนี่ล่ะชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เค้าพูดกับตัวเอง
เฟรมี่ กับ โรโรเนียตามเข้ามาในถ้ำ ทั้ง 2 นั่งทิ้งระยะห่างจากกัน และไม่ยอมสบตากัน ดูจากสีหน้าแล้ว เฟรมี่นั้นไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ ส่วนโรโรเนียทำหน้ากระอั่กกระอ่วม
“ก็ช่วยไม่ได้หรอกนะถ้าเธอสองคนยังระแวงกันอยู่ แต่ว่าตอนนี้เราต้องร่วมมือกันไขปรืศนาของเท็กเนียวนะ ดังนั้นขอร้องล่ะ”
“นั่นสินะคะ เฟรมี่ซัง มาช่วยกันเถอะค่ะ”
“นั่นสินะ ตอนนี้ร่วมมือกันก่อนแล้วกัน” เฟรมี่ตอบ แต่ระยะห่างของทั้งสองคนดูจะไม่ลดลงเลย
“ทำให้ทีนี่สว่างหน่อยแล้วกันนะ” เฟรมี่พูดพลางเดินไปที่กลางถ้ำ เธอวางอัญมณีก้อนหนึ่งบนพื้นเลยร่ายคาถา ทันใดนั้นอัญมณีก็เปล่งแสงออกมา
“อะไรน่ะ? นี่ก็เป็นพลังของเธอเหรอ?”
“เปล่า เป็นของที่มอร่าพกมาน่ะ เธอบอกว่ามันเป็นของที่ทำโดยเซ้นแห่งแสง พิพพี่ ชั้นได้มาเยอะเลย แบ่งไปสิ”
เฟรมี่ส่งอัญมณีให้อัลเล็ตบอกบทคาถาแก่เขา หลังจากนั้นทั้ง 3 ก็นั่งล้อมวงโดยมีอัญมณีส่องแสงอยู่ตรงกลาง
“...อัลเล็ต ชั้นขอโทษนะ แต่ว่า..” เฟรมี่เป็นฝ่ายพูดก่อน “ชั้นคิดว่าเราไม่มีทางไขปริศนาของเท็กเนียวได้หรอก พวกเรารู้เรื่องของเท็กเนียวน้อยมาก เราพึ่งเคยสู้กับเค้าแค่30นาทีเท่านั้นเอง”
“ทำไมเธอพูดแบบนั้นล่ะ เธอน่าจะเป็นคนที่รู้จักเค้าดีกว่าใครนะ”
“ขอโทษนะ แต่อย่าคาดหวังอะไรกับชั้นนักเลย” เฟรมี่พูดพลางส่ายหน้า “ชั้นไม่รู้จุดอ่อนของเท็กเนียวหรอก แล้วชั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าทำไมเล็บแห่งเซ้นถึงใช้ไม่ได้ผลกับเค้า เท็กเนียวน่ะชั้นใจจะฆ่าชั้นตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่เค้าจะบอกเรื่องสำคัญกับชั้นหรอก”
ไม่สิ อัลเล็ตคิด “เธอไม่รู้สึกเลยเหรอว่า เท็กเนียวปิดบังบางอย่าง?”
“....ไม่นะ”
“ชั้นว่า การที่เท็กเนียวไม่คิดจะบอกข้อมูลสำคัญให้เธอรู้นี่ล่ะคือจุดที่เราน่าจะไขความลับนั้นได้”
“นายหมายความว่ายังไง”
“การจะซ่อนบางอย่างจากคนใกล้ตัวน่ะมันยากนะ เพราะจะต้องระวังทั้งการพูด การแสดงออก ท่าทาง สีหน้า ยังไงก็ต้องมีจุดที่ปิดปรกติแสดงออกมาให้เห็นแน่นอน และเราจะใช้จุดนั้นล่ะเป็นจุดเริ่มต้น” อัลเล็ตพูดขณะที่จ้องไปภายในตาของเฟรมี่ “ถ้าเธอนึกออกว่าการกระทำไหนของเค้าที่ผิดปรกติ เราอาจจะใช้จุดนั้นสืบสาวไปหาความจริงได้”
“ถึงอย่างงั้นพวกเราก็ยังมีข้อมูลไม่พออยู่ดี” เฟรมี่เถียงออกไป แต่โรโรเนียก็พูดขัดทั้ง 2 ขึ้นมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
“เออ....อ อัลคุง ชั้นขอยืมดาบของเธอได้มั๊ย?”
อัลเล็ตไม่รู้ว่าโรโรเนียต้องการมันไปทำไมแต่เค้าก็ยื่นมันให้เธอ โรโรเนียรับดาบมา เธอดึงดาบออกจากฝักแล้วมองไปที่คมดาบ
“หืม เธอทำความสะอาดมันแล้วเหรอ? งั้นชั้นขอเศษผ้าที่เธอใช้เช็ดมันหน่อยได้มั๊ยคะ”
“อัลเล็ตเดินไปหยิบผ้าขี้ริ้วเก่าๆที่เค้าทิ้งไว้แล้วยื่นให้เธอ โรโรเนียรับมันมาและนำมันใส่ปาก
“เฮ้ย!
“น่าขยะแขยง....”
เฟรมี่และอัลเล็ตทำสีหน้าขยะแขยงต่อสิ่งที่เห็น โรโรเนียดูอายนิดหน่อยแต่เธอยังคงพยายามชิมเลือดที่ติดอยู่บนผ้านั่น
“ดาบเล่มนี้ฟันพวกปีศาจมาทั้งหมด 6 ตัว” โรโรเนียพูดพลางวางผ้าลง เธอหยิบแส้ของเธอออกมาและเลียมันแทน “ส่วนแส้ของชั้นโจมตีใส่ปีศาจมาทั้งหมด 19 ตัว และมีตัวเดียวที่รสของเลือดเหมือนกับที่อยู่บนดาบของอัลคุง เอาล่ะทีนี้ชั้นระบุได้แล้วว่าเลือดของเท็กเนียวคืออันไหน ขอเวลาชั้นซักครู่นะคะ ชั้นจะวิเคราะข้อมูลจากเลือกนั่น”
โรโรเนียเลียเลือดจากผ้าขี้ริ้วที่เช็ดเลือดที่ติดดาบอัลเล็ตและแส้ของเธอเพื่อระบุเลือดที่อาวุธของทั้ง 2 โจมตีใส่เหมือนกัน นั่นคือเลือดของเท็กเนียว
“แล้ว..ว มันบอกอะไรได้บ้าง” เฟรมี่ถาม
“เลือดบอกได้หลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่กิน ลักษณะของร่างกายทั้งหมดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ถ้าชั้นได้ชิมเลือด ชั้นสามารถระบุสิ่งเหล่านี้ได้ค่ะ”
โรโรเนียยังคงเลียผ้าชี้ริ้ว และ แส้ของเธออีกซักพักก่อนที่เธอจะหลับตาลง
“รู้แล้วค่ะ”
“เป็นไงมั่ง?”
“อย่างแรกคือเท็กเนียว เป็นปีศาจที่มีร่างกายของปีศาจหลายๆชนิดอยู่ด้วยกัน เค้านำส่วนต่างๆของปีศาจตัวอื่นๆมาเสริมความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ร่างพื้นฐานของเค้าคือปีศาจประเภทกิ้งก่า”
“มันเป็นข้อมูลที่สำคัญก็จริงนะแต่ชั้นรู้อยู่แล้วล่ะ” เฟรมี่พูด
“ร่างกายของเค้าประกอบไปด้วยปีศาจ 8 ตน ตัวแรกคือปีศาจลิงยัก ซึ่งทำให้ร่างกายเค้าแข็งแกร่ง ต่อมาคือปีศาจปลาหมึก ทำให้เค้ามีความสามารถในการยืดหดแขนได้อย่างอิสระ ดวงตาเค้าได้มาจากปีศาจอีกา และได้ประสาทสัมผัสการฟังเสียงและดมกลิ่นจากปีศาจสุนัข และได้ความว่องไวมาจากปีศาจหงค่ะ......”
โรโรเนียหลับตาลงอีกครั้งเพื่อวิเคราะเลือดของเท็กเนียวต่อ “ไม่น่าเชื่อ..  เค้ายังรวมกับปีศาจโบราณที่มี 2 เพศ เพื่อให้ได้พลังในการเปลี่ยนรูปร่าง และสุดท้ายคือปีศาจงูซึ่งทำให้เค้าได้พลังในการฟื้นฟูร่างกายค่ะ”
อัลเล็ตกับเฟรมี่ มองตาค้างเมื่อได้ยินข้อมูลทั้งหมดที่โรโรเนียบอกมา
“ชั้นไม่ได้รู้ขนาดนั้นเลยนะ ชั้นรู้แค่ว่าเค้าเป็นปีศาจที่รวมส่วนต่างๆของปีศาจตัวอื่นไว้แค่นั้น”
“ใครเป็นคนสอนความสามารถนี้ให้กับเธอน่ะ?” อัลเล็ตถาม
โรโรเนียตอบอย่างอายๆว่า “มอร่าซังเป็นคนสอนให้ชั้นวิเคราะเลือดค่ะ เธอยังสอนเทคนิคอื่นๆอย่าง การรักษาและแก้พิษด้วย และหลังจากที่ชั้นได้เรียนเรื่องของพวกปีศาจจากเอโทรซัง ชั้นก็เอาทั้งหมดมาประยุกใช้รวมกันค่ะ”
เฟรมี่มองหน้าอัลเล็ต “นายรู้มั๊ยว่าเธอมีความสามารถแบบนี้ด้วย?”
“ไม่เลย นี่เป็นครั้งแรกที่ชั้นได้ยินเรื่องนี้ โรโรเนียเธอนี่มีอะไรให้แปลกใจเสมอเลยนะ” พูดจบเค้าก็หันไปยิ้มให้โรโรเนีย ซึ่งเธอก็ยิ้มตอบอย่างมีความสุข

<<<จบ Chapter 3 – Part 2>>>

3 ความคิดเห็น: