26 มกราคม 2559

(Light Novel) Rokka no yuusha Vol.2 Chapter 3 - Part 3 (แปลไทย)

Chapter 3 – Part 3

หลังจากที่อัลเล็ต เฟรมี่ และโรโรเนีย กลับเข้ามาประชุมกันในถ้ำ ฮานและโกดอฟก็ออกจากบริเวณม่านพลังของบุบผานิรันดิ์ เพื่อไปจัดการกับพวกปีศาจที่อยู่ด้านนอก โดยมีมอร่าคอยใช้ Second Sight อยู่บริเวณถ้ำเพื่อคอยดูการเคลื่อนไหวของพวกปีศาจเพื่อบอกให้ทั้งสองคนรู้
“เมี๋ยว โกดอฟ นาย จัดการเจ้าตัวเล็กนั่นนะ ชั้นจะจัดการตัวใหญ่นั่นเอง” มอร่าได้ยินเสียงฮาน ความสามารถ Second sight ของเธอไม่จำกัดแค่การมองเห็นแต่รวมถึงเสียงด้วย
ตอนนี้พระอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าและดวงจันทร์เริ่มปรากฏมาแทนที่ นี่เป็นค่ำคืนแรกของพวกเค้าในเขตแดนปีศาจ
ต้องเป็นคืนที่ยุ่งยากแน่ๆ มอร่าคิด เธอเห็นพวกปีศาจจำนวนมาก ที่ได้ยินเสียงการต่อสู้ของฮานและโกดอฟ และกำลังมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งนั้น
“ฮาน มี 5 ตัวกำลังมุ่งมาทางนายทางทิศตะวันตก และอีก 10 ทางทิศใต้” มอร่าบอกทั้งสองคนโดยใช้เสียงสะท้อนแห่งขุนเขา เธอควบคุมระยะของเสียงให้อยู่ในบริเวณที่มีแค่ฮานและโกดอฟได้ยินเท่านั้น พวกปีศาจจะไม่ได้ยินเสียงของเธอ
“โกดอฟ จัดการตัวนั้นเสร็จแล้ว รีบไปทางเหนือกัน ขืนอยู่ที่นี่ต่อเราโดนล้อมแน่”
พริบตาต่อมาพวกปีศาจบริเวณก็ถูกกำจัดจนหมด และฮานกับโกดอฟก็หนีไปแล้ว
ถ้าเป็นแบบนี้คงไม่ต้องห่วงเท่าไร มอร่าคิดระหว่างที่ยังคอยเฝ้าดูรอบๆ
ทันใดนั้นเธอก็เห็นอะไรบางอย่าง ชามอสเอาหญ้าหางจิ้งจอกล้วงเข้าไปในคอและอาเจียนเอาจูม่าออกมาจำนวนหนึ่ง
“นี่เธอจะทำอะไรน่ะ ชามอส?”
“ชามอสไม่ต้องการความช่วยเหรอของป้า ชามอสจัดการเองได้”
มอร่าเห็นพวกจูม่าออกไปจากม่านพลังของบุบผานิรันดิ์ หลังจากนั้นพวกมันก็ไปจับพวกสัตว์ป่าเล็ก เช่น กระต่าย กระรอก และหนูป่า และนำกลับมาให้ชามอส
“ดีมากๆ ทุกคนเป็นเด็กดี” ชามอสพูดพลางลูบหัวพวกจูม่าที่กลับมา หลังจากนั้นเธอก็เริ่มกัดพวกสัตว์ที่จับมาได้ จนทั่วบริเวณนั้นถูกย้อมไปด้วยเลือด เธอค่อยๆกลืนพวกมันเข้าไปในท้องของเธอ
“....นี่เธอทำไรของเธอนะ”
มอร่าไม่เข้าใจว่าชอมอสคิดจะทำอะไรอยู่ แต่เธอก็คิดว่าชามอสคงรู้ตัวว่ากำลังทำอะไร เธอจึงปล่อยให้เธอทำอย่างที่อยากทำ
ระหว่างนั้นข่าวเรื่องที่ฮานและโกดอฟกำลังต่อสู้กับพวกปีศาจก็เริ่มกระจายออกไป มอร่าได้ยินเสียงของพวกปีศาจที่พูดได้เริ่มคุยกันเรื่องนี้
“พวกมันเคลื่อนไหวแล้ว”
“พวกมันคิดจะหนีเหรอ?”
“ไม่ๆ มันมากันแค่ 2 คน”
นี่เป็นโอกาสที่เธอจะรู้แผนของพวกปีศาจ เธอจึงต้องตั้งใจฟังทุกสิ่งที่พวกมันพูดทุกอย่างแม้ว่าจะต้องคอยฟังอยู่ทั้งคืนก็ตาม
“ว่าแต่เท็กเนียวไปไหนนะ” มอร่าพูดกับตัวเอง
เธอใช้ความสามารถของเธอมองทั่วหุบเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แววของเท็กเนียว ที่จริงไม่มีแม้แต่วี่แววว่ามีปีศาจตัวไหนกำลังรับคำสั่งจากมัน
นี่แกอยู่ที่ไหน และทำอะไรอยู่นะ มอร่าคิด
“อย่าปล่อยให้มันหนี!
“มันมีแค่ 2 คน แค่ฮาน กับ โกดอฟ”
ไม่มีชื่เท็กเนียวหลุดออกมากจากพวกปีศาจ
ไม่มีทางที่สถานการณ์แบบนี้จะมีมีกับดักรออยู่ เท็กเนียวต้องวางแผนอะไรบางอย่างอยู่แน่ๆ หรือบางที่มันอาจจะพึ่งเตรียมการเสร็จ
ตอนนั้นเองที่โรโรเนียเดินมาด้านหลังมอร่า
“มอร่าซัง ขอเวลาซักครู่ได้มั๊ยคะ” เธอพูดและจับสนับมือของมอร่าขึ้นมาเลีย 2-3 ครั้ง
ระหว่างที่มอร่าช๊อคกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ชั้นเข้าใจละค่ะ!” โรโรเนียพูดแล้วก็เดินกลับเข้าไปในถ้ำ
พวกนั้นกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? มอร่าคิดระหว่างที่เอียงคอด้วยความสงสัย
.....................................................................................
“เป็นไงมั่ง?” อัลเล็ตถามเมื่อเห็นโรโรเนียเดินกลับมา
“สนับมือของมอร่าซังมีเลือดของเท็กเนียวติดอยู่นิดหน่อยค่ะ”
“แล้วเธอได้อะไรเพิ่มเติมมั๊ย” เฟรมี่ถามบ้าง
“เท่าที่ชั้นรู้ตอนนี้คือ เลือดของเท็กเนียว มีส่วนผสมของเลือดของเซ้นบนอยู่ค่ะ”
“เข้าใจล่ะ”
แสดงว่าพิษได้กระจายเข้าไปในร่างเท็กเนียวแล้ว ดังนั้นตัดประเด็นที่ว่าเล็บแห่งเซ้นเกิดข้อผิดพลาดออกไปได้
“โรโรเนียเธอสามารถตรวจสอบส่วนประกอบของร่างกายเท็กเนียวจากเลือดได้ใช่มั๊ย?”
“ค่ะ ส่วนใหญ่นะคะ”
“ในร่างของมันมีแก่นกลางอยู่มั๊ย?”
“ค่ะ ชั้นมั่นใจว่ามีค่ะ”
“มีอยู่กี่อันงั้นเหรอ?”
“อันเดียวเท่านั้นค่ะ”
อัลเล็ตขมวดคิ้ว
“น่าเสียดายที่ชั้นไม่รู้จริงๆว่าทำไมเลือดของเซ้นถึงไม่มีผล อัลคุง ชั้นขอโทษ ชั้นควรจะพยายามมากกว่านี้แต่...”
โรโรเนียพูดพลางไหล่ตก
“เธอพูดอะไรของเธอน่ะ? อีกนิดเดียวพวกเราก็จะไขปริศนาได้แล้วนะ ไม่มีทางที่ชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกจะไขปริศนานี้จากข้อมูลที่เรามีอยู่ไม่ได้หรอก”
แน่นอนว่าอัลเล็ตแสร้งพูดไปแบบนั้นเอง เพราะจริงๆแล้วเค้าก็กังวลเรื่องนั้นเหมือนกัน เค้ารู้สึกขอบคุณความพยายามของโรโรเนียแต่ ณ ตอนนี้เค้าก็ยังคงไม่สามารถไขปริศนาของ เท็กเนียวได้
อัลเล็ตคิดทฤษฏีขึ้นมาได้หลายทฤษฏีเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่น อาจจะมีปีศาจประเภทแบ่งร่าง ที่สามารถแยกร่างออกเป็นหลายๆร่างได้ ถ้าเท็กเนียวเป็นประเภทนั้น มันอาจจะแยกร่างเอาไว้ก่อนและซ่อนแก่นกลางของตัวเองไว้ในร่างอื่น ดังนั้นร่างที่มาสู้กับพวกเค้าจึงไม่มีแก่นกลาง ดังนั้นถ้าไม่มีแก่นกลางเลือดของเซ้นจึงไม่เป็นผล
แต่ว่าการวิเคราะของโรโรเนียก็ล้มล้างทฤษฏีนี้ไป เธอยืนยันว่าร่างของเท็กเนียวมีแก่นกลางอยู่ และยิ่งกว่านั้นเท็กเนียวไม่ใช่ปีศาจที่สามารถแบ่งร่างได้
จริงๆทฤษฏีนี้ก็ไม่สมเหตุสมผลตั้งแต่แรกแล้ว เพราะร่างที่ปีศาจประเภทแบ่งร่างได้แบ่งออกมา จะเป็นแค่ปีศาจระดับต่ำประเภทสัตว์หรือปรสิต ซึ่งห่างไกลจากร่างของเท็กเนียวที่สู้กับพวกเค้าโดยสิ้นเชิง
อีกทฤษฏนึงก็คือ เท็กเนียวได้รวมส่วนต่างๆของปีศาจตัวอื่นๆที่ยังมีชีวิตอยู่ไว้ ดังนั้นแต่ละส่วนของร่างกายจะมีแก่นกลางของตัวเอง ดังนั้นถึงส่วนไหนจะโดนพิษจากเลือดของเซ้นตายไปส่วนอื่นก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
แต่ก็อีกนั่นล่ะที่โรโรเนียยืนยันว่า เท็กเนียวมีแก่นกลางแค่อันเดียว ดังนั้นทฤษฏีนี้จึงต้องล้มไปอีกเช่นกัน
หรือบางทีโรโรเนียอาจจะวิเคราะผิดพลาด แต่สำหรับเค้าแล้วโรโรเนียที่เค้ารู้จักซึ่งเป็นคนที่ขี้อายและไม่กล้าแสดงออก คนแบบเธอไม่กล้าพูดอะไรที่เธอไม่แน่ใจแน่นอน ดังนั้นเค้าจึงเชื่อคำพูดของเธอเชื่อถือได้
“เท็กเนียวไม่ใช่พวกที่แบ่งร่างได้และก็ไม่ได้เกิดจากปีศาจหลายตัวรวมกัน... อัลเล็ต นายคิดอะไรออกอีกมั๊ย?” เฟรมี่ถาม ดูเหมือนเธอก็จะคิดทฤษกีเดียวกับเค้าเช่นกัน
อัลเล็ตส่ายหน้า
“ชั้นไม่เข้าใจเลย สมมุติว่าที่โรโรเนียพูดถูกต้องทั้งหมด ก็แสดงว่าเท็กเนียวไม่มีความสามารถอะไรที่ปิดซ่อนเอาไว้เลยสิ” เฟรมี่พูดต่อ
“ชั้นขอโทษค่ะ” โรโรเนียพูด
เธอไม่จำเป็นต้องขอโทษซะหน่อย อัลเล็ตคิด
“โรโรเนียเธอช่วยออกไปก่อน ซักครู่ได้มั๊ย?”
“คะ?”
สิ่งที่เฟรมี่บอกทำให้อัลเล็ตและโรโรเนียงุงงง
“เร็วสิ”
“อะ ค่ะ ชั้นจะออกไปแล้วค่ะ ขอโทษด้วย” โรโรเนียพูดพลางรีบเดินออกไปจากถ้ำ
เฟรมี่มองเธอจนเห็นว่าเธอออกไปจากระยะที่จะได้ยินแล้ว
“เธอทำอะไรน่ะเฟรมี่?”
“นายเชื่อที่โรโรเนียพูดมั๊ย?” เฟรมี่ถามพลางจ้องไปที่อัลเล็ต
“แน่นอนสิ เธอคือกุญแจสำคัญในการไขปริศนาของเท็กเนียวนะ”
“คนที่ 7 จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเท็กเนียว นายเป็นคนบอกเองนะ เป็นไปได้มั๊ยว่าโรโรเนียอาจจะพยายามหลอกเราให้หลงทาง”
“ไม่มีเหตุผลที่จะติดแบบนั้น”
“ชั้นกำลังพูดว่ามันก็เป็นไปได้”
“ชั้นก็คิดถึงความเป็นไปได้อยู่ แต่ตราบใดที่ยังไม่ชัดเจนว่าโรโรเนียคือศัตรู เธอต้องเชื่อใจเค้า”
“นายนี่มันไม่ระวังตัวเลยจริงๆ!” เฟรมี่ตะโกน ทันใดนั้นเธอก็เหลือบไปเห็นโรโรเนียแอบมองเข้ามาจากข้างนอก เธอทำมือไล่ให้โรโรเนียออกไป “นายต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ และคอยระวังคนอื่นๆด้วย ไม่งั้นไม่ช้าก็เร็วนายจะต้องโดนหลอกและถูกฆ่าแน่ ถ้ายังทำตัวแบบนี้”
“ถ้าคนที่ 7 จะมาฆ่าชั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ชั้นเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนะอย่าลืมสิ”
หน้าของเฟรมี่เต็มไปด้วยความโกรธปนเศร้า แต่อัลเล็ตก็ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่
“นายน่ะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในโลกหรอก”
“เธอหมายความว่าไง?”
“นายอ่อนแอกว่าชั้นซะอีก ไม่สิในทั้ง 7 คนน่ะ นายอ่อนแอที่สุดแล้ว! ทิ้งทิฐิบ้าๆนั่นแล้วยอมรับความจริงได้แล้ว!
เค้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นคือสิ่งที่อัลเล็ตเชื่อมั่น ถ้าปราศจากความเชื่อนี้แล้ว ตัวเค้าก็จะไม่เป็นตัวเค้าอย่างทุกวันนี้อีกต่อไป
“ชั้นคือชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก และชั้นจะจัดการกับจอมมารให้ได้ ชั้นไม่กลัวคนที่ 7 หรอก ไม่ว่าเธอหรือใครก็ตาม ชั้นจะปกป้องเอง”
ไม่มีคำพูดจากเฟรมี่ เธอเพียงส่ายหน้าอย่างเศร้าๆ
“ชั้นก็มีอะไรอยากบอกเธอเหมือนกัน เชื่อในตัวพวกพ้องให้มากกว่านี้หน่อย เหมือนกับว่านอกจากชั้นแล้วเธอเห็นคนอื่นเป็นศัตรูหมดเลย” อัลเล็ตพูดต่อ
“ใช่ ชั้นคิดว่าคนอื่นๆเป็นศัตรู ตราบใดที่เรายังไม่รู้ว่าศัตรูที่แม้จริงคือใคร ชั้นผิดเหรอ?”
“ผิดสิ พวกเราต้องเชื่อใจกัน ถ้าพวกเราไม่ร่วมมือกันพวกเราจะไม่มีทางกำจัดจอมมารได้ และยิ่งเราแตกคอกันมากเท่าไร คนที่7ก็จะได้เปรียบเรามากขึ้นเท่านั้น”
เฟรมี่จ้องไปที่อัลเล็ตโดยไม่โต้ตอบ
“ไม่ล่ะ พอกันทีกับความเชื่อใจ”
“นี่เธอ....”
“ชั้นอยากจะฆ่าทุกๆคนยกเว้นนายเดี๋ยวนี้ ถ้านายยอมให้ชั้นทำ ถ้าทำแบบนั้นเราก็ไม่ต้องห่วงเรื่องคนที่ 7”

“เฟรมี่!
หลังเหตุการณ์ที่ต่อสู้กับนาเชทาเนีย เค้าคิดว่าสามารถสื่อใจถึงเธอได้แล้ว แต่บางทีเค้าอาจจะคิดผิด ณ ตอนนี้เค้ารู้สึกว่ามีช่องว่างขนาดใหญ่ขั้นกลางระหว่างเค้ากับเธออยู่
อัลเล็ตพยายามให้ทุกคนเข้าใจกันและเชื่อใจกัน แต่ดูเหมือนสิ่งนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้ สำหรับเฟรมี่ และนั่นทำให้เค้ารู้สึกเจ็บปวด
“โรโรเนีย กลับเข้ามาได้แล้ว มาช่วยกันคิดเรื่องของเท็กเนียวต่อเถอะ” อัลเล็ตตะโกนเรียกโรโรเนียด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด
“เป็นอะไรไปเหรออัลคุง เธอดูหงุดหงิดนะ”
“ก็แค่คุยอะไรไร้สาระน่ะ เสียเวลาจริงๆ”
เฟรมี่ไม่ตอบสนองต่อคำพูดอัลเล็ต เธอได้แต่ก้มหน้ามองพื้นเงียบๆ
หลังจากนั้นทุกคนก็กลับมานั่งล้อมวงกันอีกครั้ง
“โรโรเนีย เท็กเนียวไม่มีความสามารถอื่นอีกจริงๆเหรอ?” อัลเล็ตถาม
“ค่ะชั้นมั่นใจ ถ้ามีชั้นต้องตรวจสอบได้จากเลือดแล้วค่ะ”
“หรือก็คือความสามารถของเท็กเนียวก็คือ ความแข็งแกร่ง ความอึด การฟื้นตัว การตอบสนอง ความยืดหยุ่น และพลังสายตาที่เหนือมนุษย์ หลักๆก็มีแค่นี้ค่ะ”
ถ้างั้นก็แปลว่าเท็กเนียวไม่มีความสามารถที่ทำให้เลือดของเซ้นไร้ผล
“งั้นทำไมเลือดของเซ็นถึงไม่มีผลกับเท็กเนียวล่ะ? หรือเป็นไปได้มั๊ยว่ามีใครบางคน ใช้พลังบางอย่างช่วยเท็กเนียวอยู่” อัลเล็ตถาม
“แต่ตอนนั้นเราก็เห็นว่ามีแค่เท็กเนียวคนเดียวนะคะ”
“บางทีใครคนนั้นอาจจะซ่อนอยู่ใต้ดินก็ได้ คนๆนั้นอาจจะเป็นพวกปีศาจ หรืออาจจะเป็นเซ้น....”
“เซ้นเหรอคะ?” โรโรเนีบพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
“ใช่เราต้องมองถึงความเป็นไปได้นี้ด้วย นาเชทาเนียก็ทรยศเราไปแล้ว ดังนั้นมีความเป็นไปได้ว่ายังมีเซ้นคนอื่นอีกที่เข้ากับฝ่ายจอมมารอีก”
“ก็จริงค่ะ แต่ว่า....”
เฟรมี่ถอนใจ “เฮ้ออ หน้าที่ดูแลพวกเซ้นเป็นของมอร่าไม่ใช่เหรอ? ทำไมเธอปล่อยให้หลุดรอดไปได้นะ?”
“มะ ไม่ใช่ความผิดของมอร่าซังหรอกค่ะ”
“ชั้นไม่ได้โทษเธอ ชั้นแค่บ่นเฉยๆ”
คำพูดที่เย็นชาของเฟรมี่ทำให้โรโรเนียใหล่ตก
“อาจจะเป็นความผิดของชั้นเองค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“มีช่วงนึงที่มอร่าซัง ต้องพักงานที่วิหารหลักเพื่อมาคอยฝึกสอนชั้นอยู่นานน่ะค่ะ เพราะชั้นไม่เอาไหน และอาจจะเป็นเพราะแบบนั้นก็ได้ ถ้าชั้นมีความสามารถกว่านี้ล่ะก็...”
“เธอเอาแต่พูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความผิดของเธออยู่ได้ พอได้แล้วมันน่ารำคาญ”
“ขะ ขอโทษค่ะ” โรโรเนียตัวหดลงยิ่งกว่าเดิม
หลังจากนั้นแม้ทั้งสามจะคุยกันต่ออีกพักใหญ่ และแม้ทั้งสามจะใช้ความรู้ที่ตัวเองมีทั้งหมด แต่ก็ยังไม่สามารถได้ข้อสรุปของปริศนาที่ว่าทำไมเลือดของเซ้น จึงไม่มีผลกับเท็กเนียว
..............................................................................
การต่อสู้ทางด้านของฮานและโกดอฟยังคงดำเนินต่อไป และด้วยการประสานงานกับมอร่า พวกเค้าสามารถจัดการพวกปีศาจไปได้ประมาณ 20 ตัวแล้ว
“โกดอฟอยู่ตรงนั้น!
“ฮาน แกต้องตายยยยยยยย”
พวกปีศาจร้องตะโกนขณะพยายามจะล้อมทั้งสองคน
เมื่อเห็นดังนั้นมอร่าจึงบอกพวกเขาด้วย เสียงสะท้อนแห่งขุนเขา
“ฮาน นายกำลังจะถูกล้อมแล้วนะ รีบวิ่งไปจนถึงยอดเขาแล้วเปลี่ยนเส้นทางไปทางตะวันออก”
“อืม เมี๋ยวว โกดอฟ รีบหนีกันเถอะ ตามชั้นมาเมี๊ยว”
ทั้งสองจัดการพวกปีศาจที่ขวางทางและมุ่งไปตามที่มอร่าบอก
ความแข็งแกร่งของฮานนั้นน่าทึ่ง ถ้าไม่นับชามอสแล้ว เค้าคือคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเธอแน่นอน แต่ที่เหนือกว่าความแข็งแกร่งทางร่างกายของเค้าคือ ความสามารถในการวิเคราะห์สถาณการณ์ที่แม่นยำ
จริงอยู่ว่ามอร่าเองคอยช่วยเหลือพวกเค้าอยู่ แต่ว่าตามปรกติแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเค้าจะสู้โดยไม่ถูกล้อมไปได้ตลอด แล้วยิ่งตอนกลางคืนแบบตอนนี้ที่ไร้ซึ่งแสงสว่างที่จะมองเห็นทางได้แบบนี้ แต่ถึงแบบนั้นฮานก็สามารถวิเคราะห์และหาทางหนีทีไล่ได้อย่างไม่มีปัญหา
ส่วนโกดอฟก็แข็งแกร่ง เค้าทำตามคำแนะนำของฮานและก็ต่อสู้ได้อย่างสบายๆ ตราบใดที่ทั้งคู่ยังเป็นแบบนี้คงไม่มีไรที่เธอต้องห่วงนัก
“โกดอฟ ถ้านายเหนื่อยก็บอกนะ เมี๊ยว นายยังสู้ไหวใช่มั๊ย?”
โกดอฟไม่ได้ปฎิเสธ แต่เค้าก็ไม่ได้ตอบสนองอะไรดังเช่นทุกที เค้ายังดูมืดมนและสิ้นหวังเหมือนเดิม
“ฮาน พอนายเสร็จจากตรงนี้ช่วยไปดูบริเวณรอบนอกภูเขาให้หน่อยได้มั๊ย ความสามารถของชั้นมองเก็นได้แค่ภายในบริเวณภูเขาน่ะ”
“เมี๊ยว”
ฮานและโกดอฟขึ้นไปบนยอดเขาและสำรวจบริเวณรอบนอกภูเขา
“ชั้นไม่เห็นอะไรผิดปรกตินะ ไม่มีวี่แววว่าจะมีกำลังเสริมหรืออะไรมาเลย”
“งั้นเหรอ เข้าใจล่ะ ขอบใจมาก กลับไปลุยต่อได้แล้วล่ะ”
มอร่ากำลังร้อนรน เธอยังไม่เห็นวี่แววของเท็กเนียวเลยในตอนนี้
นี่แกทำอะไรอยู่กันเนี่ย? มอร่าคิด
เท็กเนียว คนที่ 7 ทำไมทั้งคู่ไม่เคลื่อนไหวอะไรเลยนะ แล้วที่บอกว่าเหลืออีกแค่ 2 วันมันหมายความว่ายังไงกันแน่? คำถามต่างๆยังคงปรากฏขึ้นในหัวเธอแต่ก็ไร้ซึ่งคำตอบ
มอร่านั้นมีเรื่องที่กลัวอยู่เรื่องนึง มันเป็นเรื่องที่หลอกหลอนอยู่ภายในใจเธอตั้งแต่ที่พวกเค้าติดอยู่ในป่าหมอกลวงตา
คนที่ 7 รู้มั๊ยว่าเธอทำสัญญาลับไว้กับเท็กเนียว? จริงอยู่ว่าเท็กเนียวสาบานว่าจะไม่บอกใครทั้งสิ้น แต่ถ้าเกิดมีคนแอบได้ยินเหตุการณ์นั้นล่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นล่ะก็แย่แน่ๆ
ในสัญญานั้นเธอรับปากไว้ว่าจะฆ่าใครคนหนึ่งในหกบุบผา ถ้าคนอื่นๆรู้เรื่องนี้ล่ะก็ พวกเค้าจะต้องมุ่งเป้ามาที่เธอแน่นอน บางทีเฟรมี่คงฆ่าเธอทันทีที่รู้ด้วยซ้ำ และถึงแม้เธอจะไม่ถูกฆ่าก็คงไม่มีใครเชื่อใจเธออีกแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเธอก็เป็นต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ภายในป่าหมอกแย่ลง เมื่อรวมเหตุการณ์ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วไม่แปลกเลยที่จะไม่มีใครไว้ใจเธออีกต่อไป และนั่นจะเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับคนที่ 7
แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ก็ยังไม่มีวี่แววว่าสัญญาลับของเธอจะถูกเปิดเผย นอกจากเฟรมี่แล้วดูเหมือนจะไม่มีใครสงสัยเธอมากนัก
ทั้งคนที่ 7 ทั้งเท็กเนียว พวกแกวางแผนอะไรอยู่นะ... มอร่าคิด
“มอร่าเราต้องไปทางไหนต่อน่ะ? นี่เธอหลับเหรอ?” ฮานตะโกนถามจะบริเวณยอดเขา
มอร่าได้สติอีกครั้ง และกลับมาตรวจสอบสถาณการณ์ปัจจุบัน
“พอลงจากเขาแล้วให้มุ่งหน้าไปทางใต้ ตรงนั้นมีปีศาจอยู่นิดหน่อย”
ok เมี๋ยว”
ตอนนั้นเองที่มีความคิดแว่บหนึ่งเข้ามาในความคิดเธอ แต่เธอก็รีบลบความคิดนั้นออกไปจากหัว
หรือว่า... ไม่จริงน่า ชั้นคือคนที่ 7 เหรอ...

.............................................................................................
พวกอัลเล็ตคุยกันอยู่เป็นเวลาประมาณ 2 ชม. แต่ยิ่งนานขึ้นเท่าไรไอเดียต่างๆก็ยิ่งน้อยลงตามไปด้วย
พวกปรึกษากันถึงทุกความเป็นไปได้ ที่เป็นเหตุให้พิษจากเลือดของเซ้นไม่เป็นผลต่อเท็กเนียว
พวกเค้าพยายามช่วยกันคิดว่าเท็กเนียวซ่อนความสามารถอะไรไว้ แต่ว่าข้อมูลที่เฟรมี่บอกก็มีน้อยเกินกว่าที่จะอ้างอิงอะไรได้
ในที่สุดทั้งสามก็นั่งมองหน้ากันอย่างผิดหวัง
“บางทีพวกเราอาจจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดกันใหม่” ทันใดนั้นอัลเล็คก็พูดขึ้น
“ยังไงล่ะ?”
“เราไม่ควรจะมานั่งหาว่าเท็กเนียวใช้ความสามารถอะไรถึงป้องกันพิษของเซ้นได้ แต่เราน่าจะมองหาพฤติกรรมที่ปิดปรกติของเท็กเนียวมากกว่า”
เฟรมี่และโรโรเนีย ช่วยกันคิดตามข้อเสนอของอัลเล็ต
“ท่าทีที่แปลกๆของเท็กเนียวเหรอ มันก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนะ เค้าโผล่มาจากพื้น พูดทักทายพวกเรา และก็พูดจาดูมีลับลมคมใน”
อือตามที่พูดมาเลย อัลเล็ตคิด
“เฟรมี่ มีอะไรมั่งมั๊ยที่เท็กเนียวชอบทำเป็นประจำ?”
“การทักทาย เป็นพื้นฐานของชีวิต เค้าสอนชั้นแบบนั้น ถ้าพวกปีศาจใต้บังคับบัญชาเค้าไม่ยอมพูดทักทายล่ะก็เค้าจะโกรธมาก”
อย่างนี้เองสินะ อัลเล็ตคิด
“แล้วปากที่หน้าอดคืออะไรเหรอ? เป็นที่เก็บของอะไรแบบนั้นรึเปล่า?”
“ใช่ เค้าใช้มันเก็บของไว้หลายอย่างเลย”
“เช่นอะไรบ้างล่ะ?”
“ก็พวก กระดาษจดบันทึก เครื่องใช้ต่างๆ เข็มทิศ แผนที่ ..... พวกของเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆที่มนุษย์สร้าง ของเล่น และก็ขนม” เฟรมี่ตอบ
“เหมือนเค้าจะใส่แต่ของใช้ทั่วๆไปนะคะ” โรโรเนียพูด
ตอนนั้นเองที่อัลเล็ตนึกถึงพฤติกรรมแปลกของเท็กเนียวที่เค้าเคยสงสัย
“ทำไม เท็กเนียวถึงต้องกินผลมะเดือล่ะ?”
“หืม?”
“ก็จริงๆแล้วปีศาจไม่จำเป็นต้องกินอะไรมากไม่ใช่เหรอ? งั้นทำไมเท็กเนียวถึงกินอะไรอยู่ตลอดเลยล่ะ?”
“เท็กเนียว ออกจะแปลกกว่าปีศาจอื่นๆน่ะ เค้าบอกว่าเค้าค่อนข้างจะหิวบ่อยกว่าปรกติ”
“จริงเหรอ โรโรเนีย?”
“หิวบ่อยเหรอ? ชั้นก็ไม่รู้ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
อัลเล็ตนึกย้อนไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่เท็กเนียวมายังหมู่บ้านของเค้า ตอนนั้นบนโต๊ะอาหารของเท็กเนียวก็มีอาหารมากมายวางอยู่ ทำไมเป็นแบบนั้นนะ? อัลเล็ตคิด
“ผลมะเดื่อนั่นต้องมีความลับอะไรอยู่แน่”
“มะเดืองั้นเหรอ?”
“นี่ ปรกติแล้วเท็กเนียวกินอะไรน่ะ?”
“ก็ทุกอย่างน่ะล่ะ มนุษย์ สัตว์ ผัก ผลไม้ แต่เค้าชอบกินผลไม้มากกว่า เค้าให้มนุษย์ที่เค้าจับตัวมาปลูกมันแล้วเค้าก็เก็บมันไว้ในหน้าอกตลอดเวลา”
“หมอนั่นชอบกินผลไม้เหรอ?”
“จากเลือดที่ชั้นวิเคราะห์ได้ เค้าก็กินอะไรหลายอย่างคะ”
“เค้ากินมะเดื่อ เนื้อสัตว์ พืช และก็......” โรโรเนียลังเลนิดหน่อยก่อนจะพูดต่อ “เค้ากินปีศาจด้วยกันด้วยค่ะ”
อัลเล็ตตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เฟรมี่ทำเหมือนเป็นเรื่องปรกติ
“ใช่ เค้ากินพวกเดียวกันด้วย เค้าจะกินพวกที่ไร้ประโยชน์ และพวกที่ต้องสงสัยว่าเป็นสายของโดซซุ เค้าบอกว่ามันช่วยเสริมกำลังให้เค้า”
“หมอนั่น กินพวกเดียวกันเนี่ยนะ นี่มันบ้าชัดๆ”
ปีศาจที่กินจุงั้นเหรอ? ก็แปลกอยู่หรอก แต่มันหมายความว่ายังไงนะ? อัลเล็ตไม่รู้จะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องจากตรงไหนก่อนดี แต่การที่เท็กเนียวหยิบผลมะเดื่อขึ้นมากินระหว่างต่อสู้ก็เป็นอะไรที่ผิดปรกติจริงๆน่ะล่ะ
“อือ....อ แต่ในบันทึกของผู้กล้ารุ่นก่อนก็ไม่ได้พูดเกี่ยวกับเท็กเนียวว่ากินจุเลยนี่นะ.....” อัลเล็ตพูดออกมาเบาๆ
“บันทึกของผู้กล้างั้นเหรอ?” เฟรมี่ถาม พลางเอียงคอด้วยความสงสัย
“เธอไม่เคยอ่าน บันทึกสงครามของ บาร์น เหรอ? มันคือบันทึกที่บาร์น หนึ่งในผู้กล้าหกบุบผารุ่นแรกที่รอดชีวิตจากสงครามครั้งแรกได้บันทึกเอาไว้”
“ไม่นะ ชั้นไม่เคยได้ยินเลย ว่าแต่ในนั้นมีพูดถึงเรื่องของเท็กเนียวด้วยเหรอ?”
อัลเล็ตพยักหน้า บันทึกสงครามของบาร์น เป็นสิ่งที่ผู้ที่หวังจะเป็นผู้กล้าหกบุบผาทุกคนจะต้องรู้จัก
“ชั้นก็เคยอ่านค่ะ” โรโรเนียยกมือ
“จอมกษัตริย์ ฟูเมอร์ สุดยอดไปเลยนะ ยิ่งตอนที่เค้าสู้ตัวต่อตัวกับโซเพรียเนี่ยสุดยอดเลย” อัลเล็ตพูด
“แต่คนที่ชั้นชอบที่สุดคือ พีรูคซัง เซ้นแห่งไฟค่ะ อือ....อ ถึงแม้เธอจะเป็นคนแรกที่เสียชีวิตก็เถอะ...”
จากนั้นทั้ง 2 คนก็เริ่มพูดคุยเรื่องตำนานอย่างสนุกสนานจนกระทั่งเฟรมี่ขัดขึ้น
“นี่ สรุปแล้วในบันทึกพูดถึงเท็กเนียวว่ายังไงน่ะ?”
“จริงๆแล้ว ในบันทึกก็ไม่ได้ระบุชื่อเอาไว้หรอกนะ แต่ว่าไหนหมู่สมุนของราชาปีศาจโซเพรีย(Zophrair) มีปีศาจตัวหนึ่งที่ลักษณะเหมือนกับเท็กเนียวเลยน่ะ”
“ราชาปีศาจโซเพรียงั้นเหรอ?”
อัลเล็ตแปลกใจพอสมควรที่ เฟรมี่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหมือนกัน
“โซเพรียเป็นปีศาจที่มีบทบาทสำคัญในสงครามครั้งแรกของเหล่าหกบุบผา เค้าเป็นผู้บัญชาการพวกปีศาจหนึ่งเดียวในตอนนั้น เป็นรองแค่เพียงจอมมาร บาร์นผู้เขียนได้ให้สมญานามไว้ว่า “ราชาปีศาจ” ”
“ชั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะ”
“ตามบันทึกกล่าวว่า เหล่าหกบุบลอบเข้าไปในเขตแดนปีศาจทางเรือ และก็ทำการโจมตีฉับพลัน ณ บริเวณที่เรียกว่าดินแดนแห่งหยาดโลหิต ที่นั่นเองที่พวกเค้าได้เจอกับ ราชาปีศาจโซเพรีย และสมุนทั้ง 22 ตน
“โซเพรียนั้นมีปีกของนกแก้ว และมีร่างกลายคล้ายกับแมวผสมกับนก บาร์นซึ่งเป็น ผู้เขียน บรรยายเอาไว้ว่า มันเป็นสิ่งที่งดงามที่สุดที่เค้าเคยเห็น”
“นายนี่รู้ดีจังนะ”
“ก็ชั้นอ่านบันทึกนี้ซ้ำไปซ้ำมาจนจำได้ทุกคำแล้วล่ะ เอาล่ะตามที่บันทึกกล่าวไว้ โซเพรียมีความสามารถที่พิเศษไม่เหมือนปีศาจตัวอื่นๆ บาร์นเรียกมันว่า ความสามารถในการควบคุมปีศาจ”
“ความสามารถนี้มันทำอะไรได้งั้นเหรอ?”
“เป็นพลังที่ควบคุมปีศาจตัวอื่นๆ ตรงตามชื่อนั่นล่ะ”
“เหล่าสมุนของโซเพรียเข้าต่อสู้กับเหล่าบุบผาได้อย่างยอดเยี่ยม ทุกตัวโจมตีประสานกันได้อย่างไร้ที่ติ โดยไม่ต้องสื่อสารกันแม้แต่น้อย ที่จริงไม่แม้แต่มองกันด้วยซ้ำ นอจากนี้ทุกครั้งที่หนึ่งในพวกสมุนของโซเพรียถูกฆ่ามันจะคืนชีพขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดังนั้นตราบใดที่โซเพรียยังอยู่ พวกมันจะไม่มีวันตาย”
“พลังในการควบคุมงั้นสินะ.......”
“โซเพรีย ไม่ได้สั่งการพวกสมุนด้วยคำพูด แต่ควบคุมพวกนั้นโดยตรง พูดง่ายๆคือสมุนทั้ง 22 เปรียบเสมือนส่วนหนึ่งของร่างกายของโซเพรีย”
“ตามบันทึกล่าวว่า โซเพรียต้องแบ่งส่วนหนึ่งของร่างกายของตน ให้แก่สมุนแต่ละตัวเพื่อที่จะได้สามารถควบคุมเหล่าสมุนได้ แต่ว่านี่ก็เป็นแค่การคาดการณ์ของบาร์นผู้เขียนเท่านั้นล่ะนะ”
“แล้วอีกอย่างนึงคือ ดูเหมือนโซเพรียจะมีอีกความสามารถหนึ่งคือ มันสามารถทำให้พวกปีศาจที่อยู่ภายใต้การควบคุมแข็งแกร่งขึ้นได้”
“ตามบันทึกกล่าวว่า เมื่อโซเพรียถูกกำจัด เหล่าสมุนของเค้าก็อ่อนแอลงทันทีค่ะ” โรโรเนียพูดเสริม
“แล้วตกลงเรื่องราวเป็นยังไงต่อ?”
“เหล่าบุบผาจึงให้ 3 คน ต่อสู้กับโซเพรีย ส่วนที่เหลือให้รีบมุ่งหน้าไปจัดการกับจอมมาร”
“ภายหลังเมื่อจอมมารถูกกำจัดแล้ว โซเพรียได้ท้าจอมกษัตริ ฟูเมอร์ เพื่อสู้กันตัวต่อตัว ซึ่ง ฟูเมอร์ก็รับคำท้า ผลการตาสู้จบลง โดยที่ทั้งสองสู้กันจนเสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่าย”
“......”
“แต่บันทึกของหกบุบผารุ่นที่ 2 ไม่ได้มีการกล่าวถึงโซเพรียเอาไว้เลย จริงแล้วไม่มีแม้แต่ปีศาจที่มีความสามารถแบบเดียวกันด้วยซ้ำ ดังนั้นโซเพรียจึงเป็นปีศาจหนึ่งเดียวที่มีความสามารถนี้ จึงไม่แปลกที่จะถูกขนานนามว่า ราชาปีศาจ”
“แล้วเท็กเนียวโผล่มาตอนไหน?”
“มีปีศาจตัวหนึ่งที่คล้ายกับเท็กเนียว อยู่ในหมู่ลูกสมุนของโซเพรีย แต่เช่นเดียวกันกับโซเพรีย ในบันทึกของหกบุบผารุ่นต่อมา ก็ไม่มีการพูดถึงปีศาจที่คล้ายกับเท็กเนียวอีก”
“แล้วตามบันทึกของรุ่นแรก เท็กเนียวมีบทบาทอะไรเหรอ?”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ก็แค่เข้าต่อสู้กับหกบุบผาและก็พ่ายแพ้ แค่นั้นล่ะ”
“ชั้นไม่เคยได้ยืนเรื่องพวกนี้มาก่อนเลย เรื่องราวของสงครามครั้งแรกที่ชั้นได้ยินต่างจากที่นายเล่ามามาก และชั้นก็ไม่เคยได้ยินชื่อของราชาปีศาจโซเพรียด้วยเหมือนกัน”
แปลแฮะ อัลเล็ตคิด ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโซเพรียคือปีศาจที่แข่งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ และเมื่อลองเปรียบเทียบกันแล้ว โซเพรียน่าจะแข็งแกร่งกว่าเท็กเนียวด้วยซ้ำ ไม่มีทางที่ปีศาจที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะไม่ถูกกล่าวถึงหรอก
“เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการต่อสู้ครั้งก่อนๆเลยเหรอ?”
“ชั้นก็เคยได้ยินมาบ้างล่ะนะ แต่ต่างจากที่นายเล่าลิบลับเลย เท็กเนียวเล่าว่าไม่มีใครบัญชาการพวกปีศาจในสงครามครั้งแรก พวกปีศาจต่างจู่โจมเหล่าบุบผาอย่างไร้แบบแผนและนั่นเองที่เป็นสาเหตุให้เหล่าปีศาจพ่ายแพ้”
“แปลกมาก” อัลเล็ตพูด เท็กเนียวตั้งใจบิดบังเรื่องของโซเพรียไม่ให้เฟรมี่รู้ เพื่ออะไรนะ?
มีหลายอย่างที่ผิดปรกติเกี่ยวกับเท็กเนียวทั้งเรื่อง การกิน การทักทาย และการปิดบังเรื่องของโซเพรีย เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับความลับของเท็กเนียวยังไงนะ?
ปริศนาเหล่านี้ยังคลุมเครืออยู่
“... บางทีเราอาจจะต้องกลับไปยังสถานที่เราเจอเท็กเนียวครั้งแรก” อัลเล็ตกำลังพูดถึงบริเวณเนินเขาที่เท็กเนียวซุ่มโจมตีพวกเค้า ซึ่งห่างไปประมาณ 30 นาทีจากที่นี่
“เรื่องนั้นท่าทางจะยากนะ” เฟรมี่ตอบ “ตอนนี้ที่นี่โดนล้อมไว้หมดแล้ว อีกอย่างถ้ามีเบาะแสอะไรที่นั่นจริง เท็กเนียวต้องไม่ปล่อยเราไปที่นั่นแน่”
พวกเค้าต้องหลีกเลียงการต่อสู้กับเท็กเนียวจนกว่าจะไขปริศนาได้ เพราะถ้าพวกเค้าต้องเผชิญหน้ากับเท็กเนียวอีกครั้งล่ะก็ พวกเค้าอาจจะไม่สามารถหนีได้เหมือนครั้งนี้อีก แต่ถึงกระนั้นที่นั่นก็คือความเป็นไปได้เดียวที่จะมีเบาะแสเกี่ยวกับปริศนาของเท็กเนียวอยู่
“ชั้นจะไปตรวจดูเอง พวกนายอยู่ที่นี่ล่ะ” เฟรมี่พูดพลางยืนขึ้น
“นี่เธอจะไปคนเดียวเหรอ?”
“มันง่ายกว่าถ้าชั้นไปคนเดียว เพราะชั้นจะได้ไม่ต้องคอยระแวงคนอื่นๆ”
“ไม่ได้ ชั้นกับโรโรเนียจะไปกับเธอด้วย”
 “นายยังรักษาบาดแผลไม่หายดีนะ ส่วนโรโรเนียไม่ต้องพูดถึงเลย ชั้นไม่พาคนที่อาจจะเป็นศัตรูไปด้วยแน่”
ตอนนั้นเองที่เสียงของมอร่าดังเข้ามาในถ้ำ “เท็กเนียวโผล่มาแล้ว!
เมื่อได้ยินดังนั้นทั้ง 3 ก็รีบวิ่งออกไปทันที

<<จบ Chapter 3 – Part 3>>

2 ความคิดเห็น: