18 มกราคม 2559

(Light Novel) Rokka no yuusha Vol.2 Chapter 1 - Part 2 (แปลไทย)

Chapter 1 - Part 2
บริเวณเขตแดนปีศาจมีส่วนที่ติดกับทวีปใหญ่ส่วนเดียว นอกนั้นถูกล้อมรอบด้วยน้ำ
แต่ไม่มีทางที่มนุษย์จะใช้เรือเข้ามาทางอื่นได้ เพราะบริเสณรอบเขตแดนปีศาจเต็มไปด้วยน้ำวน โขดหิน และ ปีศาจที่เฝ้าระวังอยู่ทั่ว
เป้าหมายของเหล่าบุบผาคือบริเวณตะวันออกเฉียงเหนือของเขตแดนปีศาจที่จอมมารหลับอยู่ เซ้นเอกบุบผาเรียกสถานที่นั้นว่า ที่พำนักแห่งหยาดน้ำตา
หลังจอมมารตื่น มีเวลาประมาณ 30 วันก่อนที่จอมมารจะคืนชีพโดยสมบูรณ์ เหล่าบุบผาต้องไปให้ถึงสถาณที่แห่งนั้นและกำจัดจอมมารให้ทันก่อนที่โลกจะถึงกาลอวสาน
ผ่านมาครึ่งวันหลังจากเข้ามาในเขตแดนปีศาจ
เหล่าบุบผาเข้ามาทางตะวันตกของเขตแดนบริเวณที่ถูกเรียกว่า หุบเขาแห่งหยดเลือด เนื่องจากสมัยก่อนเซ้นเอกบุบผาต่อสู้กลับจอมมารและกระอักเลือดบริเวณนี้
จนกระทั้งตอนนี้ทั้ง 7 ยังไม่พบวี่แววของปีศาจ
ระหว่างทางที่เดิน พวกเค้าก็เล่าเรื่องการต่อสู้กับนาเชทาเนียให้โรโรเนียฟัง รวมถึงเรื่องที่เฟรมี่เป็นนักฆ่าบุบผาและเป็นครึ่งปีศาจ ทำให้โรโรเนียหน้าซีด
"เป็นอะไรมั๊ย โรโรเนีย"
"...ไม่เป็นไรค่ะ ชั้นสบายดี" โรโรเนียกลัว แต่เธอไม่ได้กลัวแค่เฟรมี่ เธอยังกลัวฮานที่เป็นนักฆ่า ชามอสที่โหดร้าย และก็ลูกน้องของนาเชทาเนียโกลดอฟ คนที่เธอสมารถคุยอย่างสนิทใจได้ในตอนนี้มีเพียง อัลเล็ทและมอร่า
"ไม่มีวี่แววปีศาจเลยแฮะ เมื่อกี๊มอร่าล่วงหน้าไปดูลาดเลาด้านหน้าแล้ว พวกเรารีบตามไปกันเถอะ" เฟรมี่พูดและเร่งฝีเท้าตามมอร่าไป คนอื่นๆก็ตามเธอไปเช่นกัน
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ก้องไปทั้วหุบเขา โรโรเนียตัวสั่น แต่เมื่ออัลเลตมองไปก็เห็นเพียงกวางตัวหนึ่งเท่านั้น
เขตแดนปีศาจมีไอพิษที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่ตราของ6บุบผาสามารถปกป้องพวกเค้าจากมันได้ แต่ว่าไอพิษนี้ไม่มีผลต่อสัตว์อื่นๆ
"นี่ยัยวัว เธอเป็นหกบุบฝาจริงๆเหรอ ทำไมอ่อนแอแบบนี้ล่ะ" ชามอสพูดขึ้นระหว่างแก่งหญ้าหางจิ้งจอกเล่น
"คือว่า..."
"ชามอสรู้แล้ว เทพธิดาแห่งโชคชะตาคงจะทำอะไรพลากซักอย่าง ไม่งั้นคนอย่างเธอไม่มีทางถูกเลือกหรอก"
"อือ..." โรโรเนียได้แต่ก้มหน้า "บางทีชั้นอาจไม่ใช่ 6 บุบฝาก็ได้ค่ะ"
"เธอหมายความว่ายังไง?" อัลเล็ตคิด
"ชามอสว่าเธอน่ะน่ารำคาญ ถ้าเธอเป็นคนที่ 7 จริงชามอสว่ารีบสารภาพมาดีกว่านะ ถ้าขอโทษซะตอนนี้ ชามอสจะไม่ทำอะไรหรอก"
"พอได้แล้ว!" อัลเล็ตตะโกน
"แต่ชั้นคิดว่า โรโรเนียน่ะเข้มแข็ง" เฟรมี่พูดขึ้น "ชั้นได้ยินมาว่ามอร่าชื่นชนความสามารถของเธอ และฝึกฝนเธอด้วยตัวเอง ตอนที่โรโรเนียอยู่ที่วิหารหลักกับมอร่า ไม่มีช่องว่างให้ชั้นเข้าใกล้มอร่าไม่ได้เลย"
"งั้นก็คงแข็งแกร่งนิดนึงละมั๊ง"
"ขะ ขอบคุณค่ะ เฟรมี่ซัง"
"ไม่ต้องขอบคุณชั้นหรอก ชั้นยังสงสัยเธออยู่ดี"
"อุ.." โรโรเนียถอยฉากออกไปนิดหน่อย
"นอกจากนี้ชั้นก็อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับเธอด้วย"
"จริงสิ เล่าให้ฟังหน่อยสิโรโรเนีย" อัลเล็ตเสริม
"ตัวชั้นพึ่งได้มาเป็นเซ้นได้ประมาณ 2 ปี ครึ่ง ก่อนหน้านี้ชั้นเป็นคนรับใช้ที่เมืองๆนึง ชั้นคงมายืนตรงนี้ไม่ได้ ถ้าไม่ได้มอร่าซังที่ช่วยฝึกฝนการเป็นเซ้นให้ชั้นและไวเวิลซังที่ช่วยฝึกฝนการต่อสู้ให้กับชั้น"
"ตั้งแต่ตอนที่จอมมารตื่นขึ้นมา จนกระทั่งมาเจอกับพวกเราเธอกำลังทำอะไรอยู่"
"อ่า ค่ะ ตอนที่จอมมารตื่นขึ้นมาและชั้นได้รับตรา6บุบผา ชั้นอยู่ที่วิหารแห่งไฟ ของอาณาจักรผลไม้สีเหลืองค่ะ ชั้นกำลังฝึกกับลีเนลลีซังเซ้นแห่งไฟอยู่ค่ะในตอนนั้น"
"แล้วจากนั้นล่ะ"
"ชั้นก็รีบมาจุดนัดพบของเหล่าบุบผาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่ระหว่างทางก็เจอกับปีศาจเข้ามาโจมตี และก็แวะช่วยรักษาผู้คนที่บาดเจ็บระหว่างทาง ก็เลยทำให้ชั้นมาช้าค่ะ ต้องขอโทษจริงๆค่ะ" โรโรเนียผงกหัวขอโทษ
"แล้วตอนที่เธอมาถึง ม่านพลังล่ะ" อัลเล็ตถาม
"ชั้นมาถึงบริเวณป่าหมอกคืนก่อนหน้านั้นค่ะ ตอนนั้นม่านพลังทำงานอยู่แล้ว แล้วชั้นก็พอกษัตร์ย์กวินเวลที่หอคอยใกล้ๆที่นั่น เค้าเป็นคนเล่าให้ชั้นฟังเรื่องม่านพลังนี้ค่ะ เค้าบอกว่าก่อนหน้านี้เค้าถูกบางคนจับตัวไปทำให้เค้าไม่รู้สถาณการปัจจุบันเหมือนกัน"
"และพอรุ่งเช้าม่านพลังหายไปเธอเลยเข้ามาได้สินะ"
โรโรเนียพยักหน้า

“มีใครสงสัยอะไรในเรื่องที่เธอเล่าบ้างมั๊ย?” อัลเล็ตถาม
“เธออยู่ที่วิหารแห่งไฟจริงๆ น่ะเหรอ” ฮานถาม
“เรื่องนี้ค่อยถามมอร่าทีหลัง นอกนั้นแล้วนายไม่สงสัยอะไรใช่มั๊ย”
“ก็ไม่มีนะ เมี๊ยว”
ทันใดนั้นชามอสก็ถามขึ้น “นี่ ทำไมเธอรู้จัก อัลเล็ทล่ะ?
โรโรเนียมองไปทางอัลเล็ท อัลเล็ทพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต ให้เธอเล่าให้พวกเค้าฟังได้
“ชั้นเจอกับอัลคุงครั้งแรกเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน”
ตอนที่อัลเล็ทอายุประมาณ 10 ขวบเค้ามาเป็นลูกศิษย์ของ เอโทร สไปเกอชายผู้ปลีกตัวจากโลกมาอยู่อย่างสันโดษ 8 ปีต่อมาเค้าก็เรียนรู้เทคนิคการต่อสู้ ความรู้เกี่ยวกับปีศาจ และการสร้างอาวุธลับจากอาจารย์
เอโทร สไปเกอ มีศิษย์มากมายแต่ส่วนใหญ่จะทนการฝึกอันโหดร้ายของเค้าไม่ได้จนหนีไปหมดเหลือเพียงอัลเล็ทเท่านั้น
นอกจากนี้ เอโทร สไปเกอ ยังช่วยฝึกสอนให้เหล่าเซ้นด้วย เมื่อ 2 ปีก่อนโรโรเนียถือจดหมายแนะนำตัวจากมอร่า มาหาเอโทร สไปเกอ เพื่อให้เค้าช่วยสอนเกี่ยวกับเรื่องต่างๆของปีศาจ และนั่นคือตอนที่ทั้ง 2 พบกัน ในตอนนั้น อัลเล็ทอายุประมาณ 16 ปี
“เด็กคนนี้คือ โรโรเนีย เมนเชสเตอ เว้นแห่งโลหิต เธอจะมาอยู่กับเรา 2 เดือนจากนี้ไปเพื่อศึกษาเกี่ยวกับปีศาจ แกอย่าไปกวนเธอล่ะ” เอโทร บอกเอ็ตเล็ทแต่เค้าไม่ได้สนใจจะตอบรับคำพูดนั้น อัลเล็ตในตอนนั้นต่างกับตอนนี้มากนัก เค้ากระหายจะแก้แค้น และสาปแช่งโลกทั้งโลก และเหนือสิ่งอื่นใดเค้าเกลียดความไร้พลังของตัวเอง
“แนะนำตัวเองซะ!” เอโทร ตวาด ระหว่างที่โรโรเนียหลบอยู่ด้านหลังเขา
“ชั้นอัลเล็ท ไมเออ ชั้นจะเป็นชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก อย่ามายุ่งกับชั้น”
“ขะ ขอโทษค่ะ”
“ไปกันเถอะ โรโรเนีย” เอโทรพูด
ในขณะนั้นเอง อัลเล็ทก็ปาลูกดอกไปทีเอโทรพร้อมชัดมีดพุ่งเข้าใส่ แต่เอโทรก็ใช้นิ้วรับลูกดอกไว้ได้ และจับแขนอัลเล็ททุ่มลงกับพื้น
“ปะ เป็นอะไรมั๊ยคะ อัลเล็ทซัง”
“อย่ามายุ่งกับชั้น”
“ไม่ต้องห่วงเจ้านั่นหรอก” เอโทรบอกกับโรโรเนีย “ชั้นบอกเจ้านั่นว่า ถ้ามันยังฆ่าชั้นไม่ได้ก่อนอายุ 16 ล่ะก็ชั้นจะไล่มันออกไปจากที่นี่ แล้วนี่ก็เป็นเดือนสุดท้ายแล้วตามที่ชั้นบอกเจ้านั่นแล้ว”
.............................................................................................
โรโรเนียพักอยู่ในที่พักบริเวณที่พักสำหรับแขกซึ่งถูกสร้างอยู่บริเวณเขา แต่เอโทร และอัลเล็ตนั้นพักอยู่ในถ้ำเหมือนสัตว์ป่า
ตลอดเวลาที่เธอยู่ที่นี่ เอโทรจะอยู่กับเธอตลอดเพื่อสอน ความรู้ต่างๆเกี่ยวกับปีศาจ และเค้าก็ดูแลเธออย่างดี และตลอดเวลานั้นอัลเล็ทก็ไม่โผล่หน้ามาให้เธอเห็นเลย
ตลอดเวลาอัลเล็ทก็หาจังหวะเข้ามาจู่โจมเอโทรตลอด แต่ก็ถูกโต้กลับจนบาดเจ็บกลับไปทุกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นเค้าก็ไม่แค่ละความพยายาม เพราะเค้ารู้ว่าถ้าเค้าถูกเอโทรไล่ไปตอนนี้หนทางที่จะเป็นหกบุบผาของเค้าต้องจบลงแน่นอน
ปีศาจตัวเดียวที่อัลเล็ทไม่เคยลืมคือ ปีศาจที่มีปีก3ปีกด้านหลัง เดินด้วย 2 ขาเหมือนมนุษย์ หน้าตาเหมือนกิ้งก่า และยิ้มด้วยรอยยิ้มสุภาพ มันทำลายหมู่บ้านของเค้า แช่งชิงพี่สาวและเพื่อนรักของเค้าไป เค้าไม่มีวันลืมเรื่องนี้
สิ่งเดียวที่หล่อเลี้ยงอัลเล็ทคือความแค้น เค้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ตราบใดที่ยังไม่ได้ฆ่าเจ้าปีศาจตัวนี้หรือเห็นมันตายกับตาตัวเอง
คืนหนึ่งระหว่างที่อัลเล็ทนอนบาดเจ็บอยู่ในถ้ำหลังจากที่เค้าไปจู่โจมเอโทรเช่นทุกที ทันใดนั้นเค้าก็รู้สึกเหมือนมีมือมาแตะหลังเค้า เค้าสะดุ้งหันกลับไปและพบโรโรเนียนั่งอยู่ข้างๆ
“เธอมาที่นี่ทำไม!” อัลเล็ทตะโกนใส่ โรโรเนีย จนเธอหนีไปนั่งตัวสั่นอยู่มุมถ้ำ
“อะ อาจารย์เอโทร ให้ชั้นมาช่วยรักษาให้คุณค่ะ”
“เอโทรบอกเหรอ?
“ชะ ชั้นเป็นเซ้นแห่งโลหิต ... ชั้นสามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ค่ะ..”
“งั้น ช่วยหน่อยละกัน” อัลเล็ทพูดและนอนคว่ำลงบนพื้น
โรโรเนียนำมือไปทาบบนบาดแผลของอัลเล็ท หลังจากมีแสงเรืองๆส่องออกมาจากมือของเธอบาดแผลก็สมานภายในพริบตาเดียว
“เลือดของคนเรานั้นมีพลังในการรักษาตัวเองแฝงอยู่ ด้วยพลังของชั้น ชั้นสามารถใช้มันกระตุ้นความสามารถนี้ในเลือดเพื่อรักษาบาดเจ็บได้ค่ะ”
“พลังของเซ้นนี้สุดยอดเลยแฮะ” อัลเล็ทพูด
โรโรเนียรู้สึกเขินนิดหน่อย แก้มของเธอเป็นสีแดงเล็กน้อย
“เธอก็อยากจะได้รับเลือกเป็นหกบุบผางั้นเหรอ?” อัลเล็ทถาม
“คะ?
“ที่จริงก็ไม่ต้องถามหรอกมั๊ง นักรบทุกคนก็หวังแบบนี้ทั้งนั้นน่ะล่ะ”
แต่โรโรเนียส่ายหน้า “คือ พูดไปอาจจะฟังดูแปลกๆนะคะ แต่ว่า.....”
“ทำไมล่ะ?
“ชั้นกำลังคิดจะเลิกฝึกที่นี่แล้วค่ะ”
“เอโทร ทำอะไรเธอเหรอ?
“ปะ เปล่าค่ะ คือ.... ชั้นมาคิดดูแล้ว ชั้นควรจะเลิกคิดเรื่องที่จะเป็นหกบุบผาค่ะ จริงๆแล้วชั้นตั้งใจจะเลิกเป็นเซ้นด้วย”
อัลเล็ทตกตะลึง เค้ามีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เพื่อจะแข็งแกร่งขึ้นเค้ายอมสละทุกอย่าง เค้าไม่เคยคิดที่จะทิ้งความแข็งแกร่งของตัวเองไปแม้แต่นิดเดียว
“ชะ ชั้นไม่เหมาะจะเป็นหกบุบผาหรอกค่ะ แล้วสมมุติว่าชั้นเกิดได้รับเลือกขึ้นมาจริงๆ คงจะมีแต่ทำให้คนอื่นๆเดือดร้อน ดังนั้นจะดีกว่าถ้าชั้นถอนตัวซะตั้งแต่ตอนนี้”
“งั้นเธอมาที่นี่ทำไม! เธอไม่ได้อยากแข็งแกร่งขึ้นเหรอ!
“อะ อ่า...”
“พูดมาซะ!” อัลเล็ทตะคากด้วยความโกรธ
โรโรเนียลนลานและพยายามอธิบาย
จริงๆแล้วโรโรเนียไม่ได้เป็นนักบวชหญิงซึ่งฝึกฝนตังเองเพื่อจะเป็นเซ้นด้วยซ้ำ เธอเป็นแค่คนรับใช้ที่ทำหน้าที่ซักเสื้อผ้าใหแหล่านักบวชที่วิหาร
5 ปีก่อน เมื่อเซ้นแห่งโลหิตคนก่อนลงจากตำแหน่ง พิธีคัดเลือกผู้สืบทอดถูกจัดขึ้น ทว่าผู้ที่ได้รับเลือกไม่ใช่เหล่านักบวชหญิงแต่เป็นเธอที่กลับได้รับเลือก ซึ่งสร้างความตกตะลึงแก่ทุกคน
“เรื่องแบบนี้เป็นไปได้เหรอ?” อัลเล็ทอุทานขึ้นหลังจากได้ฟังเรื่องของเธอ
“เหล่าเซ้นถูกคัดเลือกโดยเทพ แล้วเราไม่รู้ว่าเทพนั้นคิดอะไรอยู่”
จริงๆแล้วโรโรเนียต้องการจะถอนตัวตั้งแต่แรกแล้วและนักบวชคนอื่นๆก็เห็นด้วย แต่ด้วยคำสั่งโดยตรงจากวิหารหลักทำให้เธอกลายมาเป็นเซ้นแห่งโลหิต และเพื่อที่จะได้รับเลือกเป็นหกบุบผาเธอถูกพามาที่วิหารหลักเพื่อฝึกฝนทั้งความรู้ ความสามารถ และการต่อสู้
“คนที่วิหารหลักบอกชั้นจะต้องเป็นเซ้นที่มีความสามารถมากแน่ๆ แต่ชั้นว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ไม่ว่าจะฝึกเท่าไร ชั้นก็ยังเป็นคนไร้ประโยชน์ ชั้นก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม”
หลังจากที่ได้ฟังโรโรเนียพูด ความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจอัลเล็ท
“ชั้นน่ะ.... อยากจะเกิดมาเป็นผู้หญิง! เพราะถ้าชั้นเป็นผู้หญิงล่ะก็ ชั้นก็จะสามารถเป็นเซ้นได้!
“ค่ะ?
“ถ้าชั้นได้เป็นเซ้น ชั้นก็จะแข็งแกร่งขึ้น ชั้นก็จะมีพลังพอที่จะฆ่ามันได้ แต่ชั้นดันเกิดมาเป็นผู้ชาย!” อัลเล็ทชกกำปั้นไปที่พื้นอย่างแรง “เลิกคร่ำครวญไร้สาระได้แล้ว!
“อะ อา...”
“ทำไมคนแบบเธอถึงได้รับพลังนี้ ทำไมไม่เป็นชั้น!? ทำไมเป็นเธอ?!” อัลเล็ทจับคอเสื้อโรโรเนียเขย่า
“ชั้นต้องการพลัง! ชั้นต้องการพลังที่จะฆ่ามัน!” “ชั้นไม่สนว่าจะต้องแลกกับอะไร ขอแค่ชั้นได้พลังที่จะฆ่ามันได้!
ทุกๆวันที่เค้าฝึกฝนรากเลือด เค้ารู้ดีว่าเค้าไม่มีทางได้รับพลังนั้น ทุกๆคืนเค้าจะสาปแช่งความอ่อนแอของตัวเองจนหลับไป เค้าอยากได้พลังที่จะทำให้เค้าแข็งแกร่งมาตลอด
แต่ตอนนี้โรโรเนีย กลับพยายามทิ้งมันไป ทิ้งพลังที่อัลเล็ทใฝ่ฝันจะได้มาตลอด มันเป็นอะไรที่เค้าไม่มีทางให้อภัยได้
“เอาพลังนั้นมาให้ชั้นซะ!
“ชะ ชั้นทำไม่ได้ค่ะ ไม่มีทางจะส่งมอบพลังให้กันได้หรอกค่ะ”
“หุบปาก! เอามาให้ชั้น! เอาพลังนั่นมาให้ชั้น!
“มะ ไม่มีทางหรอกค่ะ ต่อให้วิหารหลักก็ทำเรื่องแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมเล่า! ส่งมาให้ชั้น! “ใครก็ได้ขอพลังให้ชั้นเถอะ ..... ชั้นอยากจะแข็งแกร่งกว่านี้......”
ในที่สุดอัลเล็ทก็ปล่อยโรโรเนีย ทิ้งตัวลงกับพื้นและร้องไห้
“ชั้นขอโทษ..... ชั้นไม่ได้ตั้งใจ....”
ตอนนั้นเองโรโรเนียก็ร้องไห้พร้อมไปกับเค้า
ในถ้ำทั้งสองคนร้องไห้อยู่ตลอดคืน เด็กสาวที่ได้รับพลัง กลับเด็กชายที่ไม่มีวันได้รับ
ช่วงฟ้าสาง อัลเล็ทก็ขอโทษโรโรเนีย เค้ารู้ดีว่าไม่ใช่เค้าคนเดียวที่มีเรื่องเจ็บปวด มันเป็นสิ่งที่เค้าลืมไปนานแล้ว
โรโรเนียก็ขอโทษ อัลเล็ท เธอพูดสิ่งที่โหดร้าย โดยลืมนึกถึงจิตใจของเค้าไป
หลังจากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นเพื่อนกัน เป็นระยะเวลาสั้นๆประมาณ 2 เดือน ถึงอย่างนั้นโรโรเนียก็เป็นเพื่อนไม่กี่คนที่อัลเล็ทมี
“และนั้นคือเรื่องราวทั้งหมดค่ะ”
โรโรเนียเล่าข้ามเรื่องราวที่เกี่ยวกับอัลเล็ทไปหลายส่วน ซึ่งเค้ารู้สึกขอบคุณเธอในเรื่องนั้น แม้แต่ตัวเค้าเองก็รู้สึกอายเมื่อคิดถึงพฤติกรรมต่างๆของตนเองในอดีต
“มอร่าเป็นคนแนะนำเธอให้ไปหา เอโทรเหรอ?” “ชั้นไม่ยักรู้มาก่อนว่าเธอรู้จักเอโทรด้วย” อัลเล็ทพูด
“คิดว่าคงไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรอกค่ะ เพียงแต่คุณเอโทรค่อนข้างมีชื่อเสียงมาก”
มีบางอย่างแปลกๆ แต่เค้าไม่รู้ว่าคืออะไร อัลเล็ทคิด
“เมี๊ยว ฮ่า ฮ่าๆ เหมือนพวกนายจะสนิทกันมากใน 2 เดือนนะ” “นี่นายคงไม่ได้หลอกฟันเธอหรอกใช่มั๊ย อัลเล็ท”
“เงียบไปเลยฮาน!” อัลเล็ทพูดพลางพลักฮาน ในขณะที่เฟรมี่มองทั้ง2ด้วยสายตาเย็นชา
ในตอนนั้นเองมอร่าก็กลับมา
“เป็นไงบ้างมอร่า”
“ชั้นไม่เห็นพวกปีศาจอยู่แถวนี้เลย ที่นี่อย่างกับหุบเขาร้าง”
อัลเล็ทไม่ได้สงสัยในคำพูดของมอร่าเลยแม้แต่น้อย
..............................................................
ประมาณ 10 นาทีก่อน มอร่ากำลังสำรวจบริเวณโดยรอบหุบเขา
ในตอนนั้นเองเธอก็พบปีศาจตัวนึงบนยอดผา มันเป็นปีศาจตัวเล็กๆลักษณะคล้ายลิง
ในขณะที่มอร่าเตรียมเข้าจู่โจม ปีศาจตนนั้นก็โดดลงต่อหน้าเธอ และมันก็ก้มลงคลาน4ขาต่อหน้าเธอ
“นี่มันอะไร?” มอร่าพึมพำ
ทันใดนั้นเองเธอก็เห็นตัวอักษรสีดำเขียนอยู่บนผิวบนแผ่นหลังของปีศาจลิงตัวนั้น
[นี่คือคำเตือน มอร่า เธอเหลือเวลาไม่มากแล้วนะ]
มอร่าจ้องมองปีศาจตนนั้นอยู่พักนึง ก่อนที่เธอจะกระหน่ำหมัดไปที่มันไม่ยั้งจนร่างมันแหลดเหลวไม่เหลือซาก
“ไม่เหลือเวลาแล้วงั้นเหรอ.... นั่นหมายความว่า...” มอร่าพึมพำ
หลังจากนั้นเธอก็ปล่อยซากของมันไว้และจากไป
.................................................................
“เธอไม่เจอพวกปีศาจแม้แต่ตัวเดียวเลยเหรอ?” อัลเล็ตถาม
“คนที่ 7 ก็ยังไม่ลงมืออะไรเลย แปลกจังน้า” ชามอสเสริม
น่าแปลกจริงๆ อัลเล็ตคิดไว้ว่า น่าจะมีกับดักรอพวกเค้าอยู่เมื่อเข้ามายังบริเวณหุบเขาปีศาจ หรือไม่คนที่7ก็อาจจะหาจังหวะลงมือระหว่างนั้น แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“บางที่ไม่ใช่ว่าคนที่ 7 ไม่ลงมือ แต่ลงมือไม่ได้ต่างหากล่ะเมี๊ยววว” ฮานพูดขึ้น
“หมายความว่ายังไง”
“ก็นะ ตั้งแต่เราเข้ามายังเขตแดนปีศาจ เฟรมี่ก็จ้องพวกเรายังกะจะฆ่าได้ทุกเมื่อ สายตาของเธอมันสื่อประมาณว่า”ชั้นจะฆ่าทันทีถ้าใครทำอะไรน่าสงสัยล่ะก็””
อัลเล็ตมองไปที่เฟรมี่ เธอไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่ฮานพูด
“เธอนี่เป็นผู้หญิงที่น่ากลัวจริง ชั้นกลัวเธอจริงๆนะ เมี๊ยว” พูดจบฮานก็หัวเราะอย่างสนุกสนาน
“มอร่าข้างหน้ามีอะไรอยู่เหรอ”
“จากนี่ไปอีกประมาณ 15 นาที จะมาเนินเขาเล็กๆอยู่ ข้างหลังนั้นมีภูเขาอยู่ นั่นน่าจะเป็นเขาที่มีบริเวณที่เรียกว่า บุบผานิรันด์
 ตามที่อัลเล็ตเคยได้ยินมา บริเวณที่ถูกเรียกว่าบุบผานิรันด์นี้เป็นเขตปลอดภัย พวกเค้าน่าจะไปถึงที่นั้นได้ก่อนเที่ยงแล้วจะพักที่นั่นซักครู่ก่อนจะเริ่มเดินทางต่อ
“ชั้นขอเสนอให้ พวกเราพักกันซักหน่อยตอนที่ออกไปตรงบริเวณที่โล่งแล้ว” เฟรมี่พูด
“ไม่ต้องหรอก อีกนิดเดียวเราก็จะถึงที่ปลอดภัยแล้วเราน่าจะรีบไปที่นั่นก่อน” แต่เฟรมี่ส่ายหน้า
“ชั้นมีบางอย่างจะต้องบอกพวกนาย เร็วเท่าไรยิ่งดี มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาวและจำเป็นมาก”
“เรื่องอะไรเหรอ?
“เกี่ยวกับโครงสร้างการสั่งการของพวกปีศาจ” คำพูดของเฟรมี่ดึงความสนใจของทุกคน
“เธอคงต้องการจะบอกเรื่อง ผู้บัญชาการทั้ง 3 ของเหล่าปีศาจสินะ” มออร่าพูดขึ้น
“ไว้เราค่อยคุยเรื่องนี้ที่ บุบผานิรันดร์ไม่ดีกว่าเหรอ มันอยู่ห่างจากนี้ไปอีกนิดเดียวเองนะ”
“ถ้าชั้นเป็นศัตรูล่ะก็ ชั้นจะวางกำลังป้องกันล้อมที่นั่นไว้ และถ้าเป็นแบบนั้นเราคงไม่มีเวลาให้คุยกันแน่” เฟรมี่พูด
“นั่นก็อาจจะเป็นไปได้ เอาเถอะยังไงเราก็ไม่น่าจะโดนจู่โจมในบริเวณที่โล่งอยู่แล้ว คุยกันที่นั่นก็คงได้”
“ถ้างั้นก็รีบไปกันเถอะ”
ฮานเดินนำทุกคนไป ตามมาด้วยชามอสและมอร่า ส่วนโกดอฟก็เดินตามไปอย่างเลื่อนลอย
และตอนที่อัลเล็ตกำลังจะออกเดินไปนั้น เฟรมี่ก็จับแขนเค้าไว้
“มีอะไรเหรอ?
“นายรู้สึกมั๊ย?
“หืม?
“เค้าอยู่ที่นี่ เจ้าปีศาจนั่น” เฟรมี่พูดระหว่างที่มองขึ้นไปบนฟ้า
ทันใดนั้นภาพของปีศาจตนนั้นก็ปรากฏขึ้นมา มันคือคนที่ทำลายบ้านเกิดของเค้า ฆ่าพี่สาว และเพื่อนรักของเค้า
ทันใดนั้นใจของอัลเล็ตก็เต้นแรง ความรู้สึกหนาวยะเยือกแล่นผ่านทั้งร่าง
“ชั้นรู้ว่าเค้าอยู่ที่นี่ ถึงจะไม่รู้ว่าที่ไหน แต่เค้าอยู่แถวนี้แน่นอน ชั้นไม่มีทางลืมความรู้สึกแบบได้”
อัลเล็ตนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เฟรมี่เล่าให้ฟังเมื่อคืนก่อน เรื่องราวของหนึ่งในสามผู้บัญชาการเหล่าของปีศาจ ที่เป็นผู้สั่งการปีศาจตนอื่นๆให้ตามล่าเธอ และก็เป็นปีศาจตนเดียวกับที่ทำลายบ้านเกิดของอัลเล็ต
ความรู้สึกในใจอัลเล็ตกำลังบอกเค้าว่า ความรู้สึกแปลกๆที่เค้ารู้สึกตอนนี้ เป็นเพราะเจ้าปีศาจนั่นไม่ผิดแน่
“รีบไปเถอะ ชั้นอย่างที่ชั้นบอกเราต้องคุยกันอีกยาว”
“ก่อนหน้านั้นชั้นขอถามได้มั๊ย? เจ้าปีศาจนั่นชื่ออะไร?
เฟรมี่มองขึ้นไปบนฟ้าและตอบว่า “ชื่อของเค้าคือ เท็กเนียว”



<จบ Chapter 1 - Part2>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น