18 มกราคม 2559

(Light Novel) Rokka no yuusha Vol.2 Chapter 1 - Part 3 (แปลไทย)

Chapter 1 – Part 3
ในขณะนั้นเอง ณ ที่แห่งหนึ่ง
“รู้มั๊ยอะไรคือพลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนี้”
“ถ้าคิดให้ดีๆล่ะก็ แกก็น่าจะรู้นะว่ามันก็คือ ความรัก นั่นเอง” ปีศาจตนหนึ่งพูดขึ้น
ปีศาจตนนั้นมีรูปร่างเหมือนมนุษย์แต่ตัวใหญ่กว่าเล็กน้อย มีเกล็ดสีเขียวทั่วร่างกาย และมีขนสีขาวบริเวณมือและขา  นอกจากนั้นมันยังมีปีก 3 ปีก ที่หลัง ซึ่งปีกที่อยู่ตรงกลางหลังนั้นคู่นอกเป็นสีขาว และ ตรงกลางเป็นสีดำ มีปากขนาดใหญ่บริเวณอก และมีหน้าตาคล้ายกิ้งก่า
ขณะนี้ปีศาจตนนั้นกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้เล็กๆ
“ข้าไม่เข้าใจครับ”
“งั้นเรอะ”
ปีศาจตนนั้นถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ในมือ มันคือหนังสือรวมสคริปบทละครเวทีชื่อดังหลายเรื่อง และกำลังจะพลิกหน้าต่อไปพร้อมกับอ่านบทละครพร้อมแสดงท่าทางประกอบสียงดัง
“ด้วยความเคารพครับท่าน ท่านควรจะหยุดเล่นได้แล้ว ตอนนี้พวกหกบุบผากำลังใกล้เข้ามาแล้วนะครับ”
“ฮ่ะๆๆ จริงสินะ” มันวางหลังสือลงและหยิบลูกมะเขือลูกใหญ่มาจากจานบนโต๊ะ
“ก่อนหน้านี้จอมมารพ่ายแพ้ให้กับพลังความรักของเหล่าหกบุบผา”
มันกัดลูกมะเขือ และพูดต่อ
“เราพ่ายแพ้ให้กับพวกบุบผามา 2 ครั้ง ทุกครั้งมันใช้พลังความรักสู้กับพวกเรา แต่ครั้งนี้จะไม่เป็นแบบนั้น”
“ครั้งนี้พลังความรักนั่นล่ะ ที่จะทำให้พวกมันพ่ายแพ้”
หลังจากนั้นเท็กเนียวก็หัวเราะเบาๆ
.............................................................
15 นาทีหลังจากนั้น ทุกคนก็มาถึงลานกว้าง
เป็นไปตามที่มอร่าบอก ไม่มีวีแววพวกปีศาจที่นี่ และถึงพวกมันจะโผล่มาพวกเค้าก็สามารถเห็นได้ตั้งแต่ไกลๆและสามารถรับมือได้ทัน
เมื่อสำรวจรอบข้างว่าปลอดภัยแล้ว อัลเล็ตก็นั่งลงพร้อมถอนหายใจ และคนอื่นๆก็หยุดพักเช่นกัน
“เฮ้ นี่ยังไม่ได้ทำอะไรนายก็ถอนหายใจซะแล้วเหรอ เมี๊ยว” ฮานพูดขึ้น
จริงของฮาน จริงอยู่ที่เค้ายังไม่ได้เผชิญการต่อสู้อะไรตั้งแต่เข้ามาในเขตปีศาจ แต่สิ่งที่ทำให้เค้าเหนื่อยเป็นเพราะบางอย่างที่อยู่ในใจเค้าต่างหาก
เรื่องที่พวกปีศาจไม่โผล่ออกมา
เรื่องของคนที่7ที่เค้ายังไม่รู้ว่าใคร
เฟรมี่ก็พร้อมจะฆ่าใครก็ตามที่ทำตัวน่าสงสัยตลอดเวลา
และชามอสที่คาดเดาการกระทำไม่ได้
และอีกหลายอย่างที่ทำให้เค้าหนักใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเรื่องของโกดอฟ
“โกดอฟ นายเป็นไงบ้าง” อัลเล็ตถาม แต่โกดอฟยังคงนั่งเงียบ ด้วยสายตาไร้ชีวิตและเลื่อนลอย
ถึงแต่การปรากฏตัวโรโรเนีย ก็ไม่ทำให้เค้าพูดอะไรซํกคำ เค้าได้แต่เหม่อลอยอยู่อย่างนั้น
ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เค้าถูกหักหลังโดยองหญิงที่ตัวเองหลงรักมาตลอด และเธอก็ทอดทิ้งเค้าไป อัลเล็ตเข้าใจความรู้สึกนั้นดี ตั้งแต่วันนั้นถึงเค้าพยายามจะให้กำลังใจโกดอฟยังไงก็ไม่เป็นผล
“โกดอฟ ลืมเธอไปซะเถอะ” อัลเล็ตพูด แต่โกดอฟก็ไม่ตอบสนอง
“ลืมผู้หญิงแบบนั้นไปเถอะเมี๊ยว นายก็หน้าตาไม่เลว เดี๋ยวก็มีสาวเข้ามาหานายอยู่ดีล่ะ ถึงแม้นายจะไม่ได้ทำอะไรเลยก็เอะ” แต่โกดอฟก็ไม่ได้ตอบฮานเช่นกัน
“นายหลงรักนาเชทาเนียมาตลอดเลยเหรอ”
“เอาเถอะถึงจริงๆแล้วเธอจะเป็นแบบนั้น แต่ภาพนอกเธอก็น่ารักดีล่ะนะ เมี๊ยว” “และก็เท่าที่ชั้นสังเกต หน้าอกเธอก็ใหญ่พอดูเลยล่ะเมี๊ยว
“อย่านอกเรื่องน่าฮาน” อัลเล็ตถอนใจยาว หลังจากนั้นเค้าก็หยิบลูกดอกมาอันหนึ่งแล้วปาไปยังหน้าโกดอฟ
โกดอฟใช้นิ้วรับไว้ได้โดยไม่แม้แต่มอง
“ถึงซังกะตายยังไง แต่สัญชาตญาณในการต่อสู้ก็ยังเหมือนเดิมสินะ นายนี่มันเป็นนักรบตัวจริงเลยนะ” อัลเล็ตพูดพร้อมรอยยิ้ม แต่โกดอฟไม่ได้สนใจตอบรับ
ทันใดนั้นมอร่าก็กวักมือเรียกอัลเล็ต
“อัลเล็ต ชั้นสงสัยว่าโกดอฟคือคนที่ 7 พวกเราน่าจะสอบปากคำเค้าหน่อยมั๊ย”
“ชั้นก็ว่าเค้าน่าสงสัยเหมือนกัน แต่เค้าจะเป็นคนที่ 7 จริงรึเปล่าเรายังยืนยันตอนนี้ไม่ได้”
“แต่ชั้นคิดว่าเป็นเค้าแน่ๆ จะเป็นใครได้อีกล่ะ ไม่ใช่ชั้น ไม่ใช่โรโรเนีย ไม่ใช่นาย ฮานกับชามอสก็ช่วยตามจับนาเชทาเนียในตอนนั้น ดังนั้นก็ไม่เหลือใครแล้วไม่ใช่เหรอ” “ส่วนเฟรมี่ถ้าเธอเป็นคนที่ 7 จริง ก็ไม่มีเหตุผลที่เค้าต้องช่วยนาย” “ดังนั้นไม่มีทางเป็นคนอื่นแล้วต้องเป็นโกดอฟแน่ๆ”
“พอได้แล้วมอร่า” อัลเล็ตพูดด้วยเสียงหนักแน่น
“สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การมีอยู่ของคนที่ 7 หรอก” “แต่มันคือการที่เรามาระแวงกันเองต่างหากล่ะเธอไม่เข้าใจเหรอ?
“แต่ว่า...”
“คุยกันจบรึยัง ชั้นจะได้เริ่มซะที” เฟรมี่พูดขัดขึ้น
“ไม่ต้องเป็นห่วงชั้นจะหาตัวคนที่ 7 เอง ใจเย็นๆเถอะ ชั้นคือชายที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนะอย่าลืมสิ” อัลเล็ตบอกมอร่าด้วยรอยยิ้ม
“............ อือ เอาเถอะเข้าใจแล้ว ชั้นไว้ใจนานนะ”
หลังจากนั้นทุกคนก็มานั่งล้อมเฟรมี่เพื่อรอฟังสิ่งที่เธอจะพูด
“อย่างที่ชั้นเคยบอกไปแล้ว เหล่าปีศาจมีผู้บัญชาการ 3 คน คือ คากิค เท็กเนียว และ โดซซุ” เฟรมี่เริ่มเล่า
“70% ของพวกปีศาจเป็นปีศาจชั้นต่ำที่ไม่มีสติปัญญา ส่วนที่เหลืออีก 30% นั้นคือปีศาจระดับสูงที่มีสติปัญญา แต่ถึงจะเรียกว่ามีสติปัญญา มันก็ไม่สามารถคิดอะไรซับซ้อนได้เท่าไรนัก ส่วนใหญ่นอกจากการฆ่ามนุษย์แล้วมันก็ไม่ค่อยได้คิดเรื่องอื่นเท่าไรนัก”
“แต่ปีศาจ 3 ตัวนี้ต่างออกไป พวกมันมี เจตจำนงเป็นของตัวเอง มีอารมณ์ ความรู้สึก และมีสามารถในการเรียนรู้ได้ และยังมีพลังเพียงพอที่จะปกครองเหล่าปีศาจอื่นๆได้ นอกจากชั้นแล้วปีศาจทุกตัวสาบานตนจะภักดีต่อพวกนั้นอย่างไม่มีข้อแม้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวมันเองก็ตาม”
“พวกนั้นแข็งแกร่งแค่ไหน?
“ชั้นก็ไม่แน่ใจนัก ที่บอกได้คือเราไม่สามารถสู้ชนะพวกนั้น แบบ ตัวต่อตัวได้”
“แต่ถ้าเราสามารถกำจัดคนใดคนหนึ่งได้ ก็เหมือนกับเราจัดการปีศาจใต้บังคับบัญชาของพวกนั้นได้ด้วย เพราะเมื่อผู้บังคับบัญชาตาย พวกปีศาจใต้บังคับบัญชาก็จะสุญเสียจุดยืนและเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง หรือก็คือไร้ซึ่งอันตรายอีกต่อไป”
“เข้าใจล่ะ”
“และสิ่งสำคัญอีกอย่างก็คือ ทั้ง 3 นั้นไม่ถูกกัน จริงๆแล้วพูดได้ว่าเป็นศัตรูกันเลยก็ว่าได้”
ทุกคนตกตะลึงกับเรื่องที่ได้ยินแต่เฟรมี่ยังคงเล่าต่อ
“ในหมู่ 3 คนนั้นคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือ คากิค เค้าเป็นปีศาจที่มีรูปร่างเป็นสิงโตและสามารถพ่นลมหายใจร้อนพอที่จะเผามนุษย์ให้ตายได้ นอกจากนี้ควันจากไฟนั้นยังเป็นพิษอีกด้วย เค้าเป็นศัตรูที่อันตรายที่สุด”
“นี่ๆ ชามอสกับเจ้านี่ ใครแข็งแกร่งกว่ากัน”
“ไม่รู้สิ”
“ยังไงก็ตาม คากิคนั้นควบคุมพวกปีศาจประมาณ 60%ของทั้งหมด โดยกว่าครึ่งนั้นรวมกันทั้งรับอยู่บริเวณที่จอมมารหลับอยู่ “ที่พำนักแห่งหยาดน้ำตา” “
“และชั้นคาดว่าคากิคจะไม่เคลื่อนย้ายจากบริเวณนั้น เค้าน่าจะคอยตั้งรับพวกเราอยู่ที่นั่นด้วยกำลังทั้งหมด”
นี่มันแย่กว่าที่คิดแฮะ อัลเล็ตคิด
“ต่อมาคือ เท็กเนียว เค้าค่อนข้างแตกต่างออกไป” ตั้งแต่เริ่มเล่านั้นเฟรมี่พูดอย่างชัดเจนและต่อเนื่องมาตลอด ตอนนี้การเธอดูลังเลก่อนที่จะพูดต่อ
ในตอนที่อัลเล็ตได้ยินชื่อนี่ หัวใจเค้าก็เริ่มแต้นแรงขึ้น
“จนกระทั้งประมาณครึ่งปีก่อน เท็กเนียวเป็นคนที่สำคัญที่สุดในโลกสำหรับชั้น”
“แล้วตอนนี้ล่ะ” มอร่าถามชึ้น
“...... ตอนนี้เป็นคนที่ชั้นเกลียดที่สุด....... เรื่องนั้นช่างมันเถอะกลับเข้าเรื่องดีกว่า”
“เท็กเนียวนั้นควบคุมพวกปีศาจประมาณ 40%ของทั้งหมด และเค้าก็เป็นผู้สั่งการชั้นให้ไปสังหารผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะได้รับเลือกเป็นหกบุบผา”
อัลเล็ตรู้สึกสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ตอนนี้เค้าเลือกที่จะฟังเฟรมี่พูดเรื่องของเธอให้จบก่อน
“เท็กเนียวนั้น เป็นปีศาจที่มีอวัยวะส่วนต่างๆของปีศาจแต่ละตัวไว้ด้วยกัน เค้าสามารถเปลี่ยนส่วนต่างๆในร่างกับปีศาจตนใดก็ได้”
“ส่วนเรื่องความสามารถในการต่อสู้ พูดได้เลยว่าเค้ามีพลังเป็นเลิศทั้งในด้าน ความแข็งแกร่ง ความเร็ว อาจจะพูดได้ว่าเค้าสามารถทำลายได้ทุกอย่าง แต่ว่าที่น่ากลัวที่สุดคือความฉลาดของเค้า”
“ความฉลาดงั้นเหรอ”
“ที่เค้าสร้างชั้นขึ้นมาก็เพื่อแผนการบางอย่าง ชั้นไม่รู้จริงๆว่า เค้าวางแผนอะไรไว้ แต่ชั้นเชื่อว่าเท็กเนียว คือคนที่ส่งนาเชทาเนีย และคนที่7 เข้ามาในกลุ่มพวกเรา”
“องค์หญิงของประเทศนึง กลายมาเป็นตัวหมากของพวกปีศาจงั้นเหรอ.... ชั้นไม่อยากจะเชื่อเลย” มาร่าพึมพำ
“เป็นไปได้สิ ก่อนที่ชั้นจะเกิดมา เท็กเนียวก็แทรกซึมเข้าไปในโลกมนุษย์นานแล้ว”
“เค้าใช้ให้ปีศาจที่เปลี่ยนร่างได้ แทรกซึมเข้าไปในสังคมมนุษย์ และใช้ปีศาจที่มีพลังในการสะกดจิตรีดเอาข้อมูลสำคัญๆออกมา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกเลยถ้าเค้าจะมีข้อมูลสำคัญที่แม้แต่คนในอาณาจักรนั้นๆก็ยังไม่รู้”
ความเงียบปกคลุมทั้ง 7 คน
“เค้าเป็นคนที่เลี้ยงดูและสั่งสอนชั้น พอชั้นแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ชั้นก็ออกเริ่มออกล่าเหล่าคนที่น่าจะได้รับเลือกเป็นหกบุบผา ในตอนนั้นชั้นรู้สึกเคารพเค้ามาก แต่ก็รู้สึกกลัวเค้าอยู่ลึกๆ”
“บางที่เค้าก็ดูอบอุ่น แต่บางครั้งก็เย็นชาจนน่ากลัว”
อัลเล็ตรู้สึกว่าเธอยังมีความรู้สึกเคารพเค้าอยู่
“ไม่สิ ไม่ใช่ ไม่มีใครเค้าใจคนอย่างเค้าได้หรอก” เธอพูดเหมือนเตือนสติตัวเอง
......................................................................................
“โธ่ นังหนู” เท็กเนียวกำลังพึมพำจากที่ไหนซักแห่ง ในขณะที่เฟรมี่กำลังพูดอยู่
“เธอคิดแบบนั้นเองเหรอ? เฟรมี่” “ชั้นเจ็บปวดมากนะที่เธอบอกว่าเธอไม่เข้าใจชั้นน่ะ” เท็กเนียวหัวเราะเบาๆ
“ทั้งๆที่ชั้นน่ะ ออกจะรักและเอ็นดูเธอขนาดนั้น”
...........................................................................................
เฟรมี่ยังคงเล่าต่อ
“คากิค กับ เท็กเนียวนั้นไม่ถูกกัน ดังนั้นพวกปีศาจภายใต้การควบคุมของทั้ง 2 จึงแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งสองฝ่ายจะไม่คุยกันแม้เจอหน้ากัน และสำหรับพวกปีศาจชั้นต่ำที่พูดไม่ได้ก็จะทำท่าขู่ใส่กันเมื่อเจอกัน”
“ทำไมเป็นแบบนั้นล่ะ”
“ก็มีหลายสาเหตุ เช่นเท็กเนียวมักชอบใช้กดอุบาย แต่คากิคจะเน้นการใช้กำลังปะทะตรงๆ แต่จริงๆแล้วเหตุผลหลักน่าจะมาจากมุมของเกี่ยวกับมนุษย์ของทั้ง 2 คน”
“เท็กเนียวน่ะเชื่อว่า มนุษย์คือเครื่องมือที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ แต่คากิคมองว่ามนุษย์เป็นสัตว์ชั้นต่ำและคิดว่าการไปคลุกคลีกับมนุษย์เป็นสิ่งที่รับไม่ได้”
“จุดเปลี่ยนที่ทั้ง 2 ตัดสินใจเริ่มห้ำหั่นกันเอง ก็คือการที่ชั้นเกิดมา”
“เท็กเนียวนั้น ทำให้ชั้นเกิดมาเพราะแผนการบางอย่าง แต่คากิตเห็นว่าการทำให้เลือดบริสุทธิ์ของปีศาจต้องแปดเปื้อนเลือดมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้”
“รอเดี๋ยวค่ะ” โรโรเนียที่ฟังเงียบๆมาตลอดก็ยกมือขึ้น
“คือ คุณบอกว่ามีผู้บัญชาการปีศาจ 3 คนไม่ใช่เหรอคะ?
อัลเล็ตก็สงสัยเรื่องนั้นเหมือนกัน เฟรมี่ยังไม่ได้พูดถึงอีกคนที่เหลือเลย และถ้าเกิดว่าคากิค ควบคุม 60% ของปีศาจทั้งหมด ส่วน เท็กเนียวควบคุม อีก 40% ที่เหลือ และคนสุดท้ายล่ะ?
“ชั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับ โดซซุ ชั้นรู้แค่ว่าเค้ายังมีชีวิตอยู่ แต่นั่นคือทั้งหมดที่ชั้นรู้”
“เค้าเป็นคนยังไงน่ะ?
“โดซซุ คือ คนทรยศ เค้ามีพลังระดับเดียวกับ คากิค และ เท็กเนียว แต่ว่าเมื่อ 200 ปีก่อน เค้าก็ทรยศจอมมาร และหายไปจากเขตแดนปีศาจ ชั้นก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เค้าทำอะไรอยู่ บางทีเท็กเนียวอาจจะรู้ แต่เค้าก็ไม่เคยบอกชั้น”
“เค้าเป็นมิตรหรือศัตรู?
“ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าจะมีพรรคพวกของเค้าแทรกซึมอยู่ทั้งในฝ่ายของคากิค และเท็กเนียว แต่พวกปีศาจที่ถูกสงสัยว่าเป็นสายให้โดซซุจะถูกกำจัดทิ้งทันที”
“นี่มันยังกับนิยายเลยนะ เมี๊ยว” ฮานบ่นออกมา
“เฟรมี่ เธอสามารถบอกได้มั๊ยว่าปีศาจตนไหนเป็นพวกของใคร”
“เท่าที่ดู..... พวกปีศาจที่เจอที่หมู่บ้านในตอนแรกน่าจะเป็นพวกของคากิค ส่วนพวกที่พวกเราเจอในป่าหมอกน่าจะเป็นพวกของเท็กเนียว”
“งั้นแสดงว่าองค์หญิงก็เป็นฝ่ายของเท็กเนียวสินะ” มอร่าพูด
“ก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นแบบนั้น”
“เอาล่ะแล้วพวกเราควรจะวางแผนยังไงกันดี? จากที่ฟังมาดูเหมือนเท็กเนียวจะเป็นปัญหาสำหรับเราที่สุดนะ” มอร่าเป็นคนแรกที่พูดขึ้น
“คากิคน่าจะป้องกันจอมมารอยู่ที่เดิม ส่วนเท็กเนียวจะเข้ามาโจมตีพวกเราแน่นอน แต่ว่าเมื่อไรและด้วยวิธีไหนนั้น ชั้นก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แต่ชั้นไม่คิดว่า เท็กเนียวจะมาโจมตีพวกเราด้วยตัวเองหรอกนะ” อัลเล็ตพูดขึ้น
“ชั้นเห็นด้วย ถ้าเค้าเป็นอะไรไปล่ะก็ปีศาจใต้การควบคุมของเค้าทั้ง 40% ก็จะเสียการควบคุม ซึ่งนั่นจะสร้างความเสียหายให้แก่พวกปีศาจมาก ชั้นคิดว่าเค้าไม่น่าจะเอาตัวเองมาเสี่ยงแบบนั้น”
“ชั้นสงสัยอยู่อย่างนึงกับปีศาจภายใต้การควบคุม ถ้าเท็กเนียวตาย” มอร่าถามขึ้น
“เหล่าปีศาจจะสามารถรับรู้ถึงกันได้ด้วยคลื่นบางอย่าง ดังนั้นถ้าเท็กเนียวตาย ปีศาจทุกตัวจะรู้ทันที และมันก็จะเริ่มเกิดความโกลาหลและตื่นตระหนก”
“เธอก็จะรู้เหมือนกันใช่มั๊ยเฟรมี่?
“ก็น่าจะนะ......” เฟรมี่ตอบโดยไม่สบตามอร่า
“เข้าใจล่ะ เท็กเนียวสินะ” อัลเล็ตพูดขึ้นขณะที่เค้ากำลังประเมินสถานการณ์
มอร่าดูจะสงสัยเรื่องเท็กเนียวเป็นพิเศษ ทั้งๆที่เธอไม่ได้มีความหลังอะไรกับเท็กเนียวเหมือนเค้าและเฟรมี่...
“หมอนั่นจะต้องใช้ให้คนที่ 7 วางกับดักพวกเราแน่ เมี๊ยว”
“คำถามที่ถูกคือ เค้าตั้งใจจะวางกับดักอะไรต่างหาก?
ชามอส ยกมือขึ้น “นี่ๆ ชามอส คิดอะไรดีๆออกแล้ว”
“ชั้นไม่คิดว่ามันจะเข้าท่าหรอกนะ แต่ก็เอาเถอะ” เฟรมี่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แต่ชามอสก็พูดต่อโดยไม่สนใจเฟรมี่ “ถ้าไม่มีตรา หกบุบผาล่ะก็ มนุษย์ไม่สามารถอยู่ในเขตแดนปีศาจได้หรอก”
เป็นเรื่องที่ใครๆก็รู้ ตราหกบุบผสสามารถป้องกันพิษที่จอมมารปล่อยออกมาที่กระจายอยู่ทั่วเขตแดนปีศาจได้
“มีมนุษย์หกคนที่นี่ ดังนั้นก็แสดงว่าทุกคนคือตัวจริง ส่วนคนที่ 7 ก็คือ เฟรมี่ที่เป็นปีศาจไงล่ะ”
“เฮ้ออ มันไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอก” เฟรมี่พูดพลางถอนหายใจ “ต่อให้เป็นมนุษย์ธรรมดาก็สามารถมีชีวิตอยู่ที่นี่ได้ เพราะพวกของเท็กเนียว มีปีศาจที่สามารถสร้างปรสิตที่จะทำให้มนุษย์ที่มันฝังตัวอยู่สามารถต่อต้านพิษในเขตแดนปีศาจได้”
“มีหลักฐานมั๊ย”
“ที่บริเวณกึ่งกลางของเขตแดนปีศาจ มีบริเวณที่ทาสมนุษย์ที่เท็กเนียวจับมาอาศัยอยู่ พวกชาวบ้านจากหมู่บ้านของนายก็น่าจะอยู่ที่นั่น” เธอพูดขณะที่มองไปยังอัลเล็ต
อัลเล็ตลุกขึ้นเรื่องราวในอดีตย้อนกลับมาในความคิดเค้า
“ทาสงั้นเหรอ.... แล้วพวกเค้าเป็นยังไงบ้าง”
“ชั้นไม่รู้เหมือนกัน ชั้นไม่เคยไปที่นั่น”
“เธอต้องรู้อะไรบ้างซี่ บอกมาเถอะอะไรก็ได้!” อัลเล็ตพยายามคาดคั้นคำตอบจากเฟรมี่ แต่มอร่าก็เข้ามาห้ามไว้
“ชั้นเข้าใจความรู้สึกนาย แต่ตอนนี้เราต้องมุ่งไปที่การกำจัดจอมมารก่อนนะ”
นั่นสินะเธอพูดถูก อัลเล็ตคิด
ชามอสซึ่งฟังอยู่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย “อัลเล็ต เป็นอะไรน่ะ”
แต่อัลเล็ตก็วิ่งเข้าไปผลักชามอสโดนไม่พูดอะไร พร้อมกันนั้นเฟรมี่ก็ถอยไปด้านหลังพร้อมชักไรเฟิลของเธอออกมา ส่วนฮานก็ลุกขึ้นพร้อมชักดาบเตรียมพร้อม
พื้นดินบริเวณที่ชามอสยืนอยู่เมื่อครู่ค่อยๆบวมขึ้นและระเบิดออก ทำให้ฝุ่นควันฟุ้งไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นก็มีปีศาจตนหนึ่งปรากฏกายออกมาจากม่านควันนั้น
“สวัสดี” มันเป็นเสียงแหลมสูง ที่ฟังดูขัดหู แต่ทันทีได้ยินเสียงนั้น หัวใจอัลเล็ทก็เริ่มเต้นอย่างรุนแรง
“ก็อย่างที่ว่าน่ะล่ะ ไม่มีประโยชย์หรอกที่จะไปหาพวกทาสพวกนั้นตอนนี้น่ะ”
“เท็กเนียว!” อัลเล็ตตะโกน ด้วยความโกรธ ตอนนี้ปีศาจที่ทำลายชีวิตของเค้าได้มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเค้าแล้ว
“เธอคงอยากเจอชั้นมากสินะ” เท็กเนียวหันไปมองอัลเล็ตและอ้าแขนออกเหมือนพยายามจะบอกว่า เข้ามาเลยสิ
ทันใดนั้นอัลเล็ตก็โดดเข้าใส่เท็กเนียวและปาลูกดอก 2 อันไปที่ตา และ ลูกดอกยาชา 2 อันไปที่ไหล่ทั้ง 2 ข้าง
มันจะต้องจบลงที่นี่ ฝันร้ายตลอดแปดปีของชั้น! อัลเล็ตคิด
แต่เท็กเนียวก็หลบลูกดอกทั้งหมดได้และโจมตีสวนใส่อัลเล็ตที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศทำให้เค้ากระเด็นออกไปกระแทกพื้นด้านหลัง
“ระวัง!
มอร่าพุ่งเข้าไปโจมตีจากทางด้านข้างเท็กเนียว ในขณะที่ฮานพุ่งเข้าไปตรงๆโดนเล็งโจมตีที่ขา เฟรมี่ยิงไปที่หน้า และ โกดอฟแทงพุ่งเข้าใส่เต็มแรง
“เจอนี่หน่อย เมี๊ยว” ฮานตะโกน
ทว่าเท็กเนียวก็หลบการโจมตีผสานของทุกคนได้อย่างหวุดหวิด เค้าใช้มือหนึ่งรับหมัดของมอร่า และยกขาหลบการโจมตีของฮานและเตะสวนไป และใช้อีกมือหนึ่งรับหอกของโกดอฟ และใช้ฟันรับกระสุนของเฟรมี่ไว้
“เกือบไปแล้วนะเนี่ย” เท็กเนียวพูด
ทุกคนถอยห่างออกจากเท็กเนียว
เป็นไปไม่ได้ อัลเล็ทคิด ป้องกันการโจมตีของทุกคนพร้อมกันได้เนี่ยนะ
“นี่พวกเธอยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ว่าชั้นสามารถฆ่าพวกเธอได้สบายๆเลยนะ หรือต่อให้ชั้นไม่ได้ทำอะไรชั้นก็อาจจะใช้ให้ คนที่ 7 ลอบสังหารพวกเธอ หรือไม่ก็ล่อพวกเธอไปยังกับดัก นี่ล่ะคือสถานการณ์ของพวกเธอตอนนี้”
เท็กเนียวยังคงพูดต่อโดนไม่เปิดช่องว่าง
“แล้วพวกเธอจะทำยังไงดีล่ะ? ถ้ายังบุกเข้ามาแบบไม่คิดหน้าคิดหลังแบบเมื่อกี๊พวกเธอจะต้องตายหมดแน่” เท็กเนียวหัวเราะออกมา

<<จบ Chapter 1 – Part3>>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น